บลจ.กสิกรไทยคาดดอกเบี้ยนโยบายคงที่ 2.00% ถึงกลางปีหน้า เปิดขายกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น ชูผลตอบแทนสูงสุด เปิดเสนอขาย 2-8 ธันวาคมนี้
นายนาวิน อินทรสมบัติ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า ในวันที่ 2-8 ธันวาคม 2557 บลจ.กสิกรไทยจะเปิดเสนอขายกองทุนเปิดเค เอ็นแฮนซท์ ตราสารหนี้ 6 เดือน ซี (KEFI6MC) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.50% ต่อปี และกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ 6 เดือน ซีแอล (KFI6MCL) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.30% ต่อปี โดยกองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน และสำหรับผู้ลงทุนบุคคลธรรมดาไม่ต้องเสียภาษี
ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทยยังได้เพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนต่อเนื่องให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนกับกองทุนตราสารหนี้แบบที่มีกำหนดอายุโครงการ (Fixed Term Fund) ของ บลจ.กสิกรไทย ซึ่งเมื่อกองทุนครบกำหนดอายุโครงการ บริษัทจัดการจะนำเงินค่าขายคืนอัตโนมัติไปซื้อหน่วยลงทุนที่ผู้ลงทุนเลือกได้กองทุนใดกองทุนหนึ่งใน 3 กองทุน คือ กองทุนเปิดเค ตลาดเงิน (K-MONEY) กองทุนเปิดเค ตราสารรัฐระยะสั้น (K-TREASURY) หรือกองทุนเปิดเค เอ็มพลัส (K-MPLUS) ซึ่งอยู่ในกลุ่มกองทุนรวมตราสารหนี้ของ บลจ.กสิกรไทย เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ถือหน่วยลงทุนได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนอย่างต่อเนื่อง
ด้านสถานการณ์ตลาดตราสารหนี้ในประเทศ นายนาวินกล่าวว่า ในสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาพันธบัตรปรับตัวขึ้นเล็กน้อย ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับตัวลงทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 5 ปีปรับตัวลง 0.02% ปิดที่ 2.44% และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีปรับลดลง 0.01% ปิดที่ 3.00% ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจในเดือนตุลาคม ซึ่งปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจนจากเดือนก่อนหน้า ทั้งด้านการบริโภคภาคเอกชน การท่องเที่ยว รวมถึงการส่งออกในเดือนตุลาคมที่ขยายตัวสูงสุดในรอบ 21 เดือนที่ระดับ 3.97% จากเดือนก่อนหน้า และขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมและสินค้าเกษตร
นอกจากนี้ยังประเมินว่าภาครัฐจะสามารถเร่งการใช้จ่ายได้มากขึ้น แต่ยังคงเป็นไปอย่างช้าๆ ซึ่งจะช่วยทำให้เศรษฐกิจในปีหน้าสามารถกลับมาเติบโตได้ที่ระดับปกติจากการลงทุนของภาครัฐเป็นหลัก โดย บลจ.กสิกรไทยประเมินว่า ทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยยังคงมีแนวโน้มทรงตัว และเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ เช่นเดียวกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งคาดว่าจะยังคงที่ ณ ระดับ 2.00% ไปอย่างน้อยจนถึงกลางปี 2558 เพื่อช่วยหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้อย่างมีเสถียรภาพ
สำหรับตราสารหนี้ที่กองทุนเปิดเค เอ็นแฮนซท์ ตราสารหนี้ 6 เดือน ซี (KEFI6MC) จะเข้าไปลงทุนในเบื้องต้นประกอบด้วย เงินฝาก China Construction Bank Corporation เงินฝาก Akbank T.A.S., ประเทศตุรกี ร่วมด้วยตราสารหนี้ Banco BTG Pactual S.A., ประเทศบราซิล และตราสารหนี้ Yapi Kredi Bankasi A.S., ประเทศตุรกี
นอกจากนี้ยังลงทุนในตราสารหนี้ประเทศไทยของธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) โดยกองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน และเป็นกองทุนที่เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่มีสินทรัพย์ในการลงทุนสูงและสามารถยอมรับความเสี่ยงได้มากขึ้น เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน โดยผู้ลงทุนต้องลงทุนด้วยเงินขั้นต่ำ 1,000,000 บาท
อย่างไรก็ตาม สำหรับนักลงทุนทั่วไปที่ยอมรับความเสี่ยงได้ต่ำ แต่ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจกว่าการลงทุนกับตราสารหนี้ภายในประเทศเพียงอย่างเดียว บลจ.กสิกรไทยขอแนะนำกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ 6 เดือน ซีแอล (KFI6MCL) ซึ่งจะลงทุนในเงินฝาก China Construction Bank Corporation เงินฝาก Bank of China
นอกจากนี้ยังลงทุนในตราสารหนี้ประเทศไทยของธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) และธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) รวมทั้งยังลงทุนในตั๋วแลกเงินของบริษัท อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) โดยตราสารที่กล่าวมามีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade) และกองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน ทั้งนี้ผู้ลงทุนสามารถลงทุนด้วยเงินขั้นต่ำเพียง 5,000 บาท
นายนาวิน อินทรสมบัติ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า ในวันที่ 2-8 ธันวาคม 2557 บลจ.กสิกรไทยจะเปิดเสนอขายกองทุนเปิดเค เอ็นแฮนซท์ ตราสารหนี้ 6 เดือน ซี (KEFI6MC) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.50% ต่อปี และกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ 6 เดือน ซีแอล (KFI6MCL) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.30% ต่อปี โดยกองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน และสำหรับผู้ลงทุนบุคคลธรรมดาไม่ต้องเสียภาษี
ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทยยังได้เพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนต่อเนื่องให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนกับกองทุนตราสารหนี้แบบที่มีกำหนดอายุโครงการ (Fixed Term Fund) ของ บลจ.กสิกรไทย ซึ่งเมื่อกองทุนครบกำหนดอายุโครงการ บริษัทจัดการจะนำเงินค่าขายคืนอัตโนมัติไปซื้อหน่วยลงทุนที่ผู้ลงทุนเลือกได้กองทุนใดกองทุนหนึ่งใน 3 กองทุน คือ กองทุนเปิดเค ตลาดเงิน (K-MONEY) กองทุนเปิดเค ตราสารรัฐระยะสั้น (K-TREASURY) หรือกองทุนเปิดเค เอ็มพลัส (K-MPLUS) ซึ่งอยู่ในกลุ่มกองทุนรวมตราสารหนี้ของ บลจ.กสิกรไทย เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ถือหน่วยลงทุนได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนอย่างต่อเนื่อง
ด้านสถานการณ์ตลาดตราสารหนี้ในประเทศ นายนาวินกล่าวว่า ในสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาพันธบัตรปรับตัวขึ้นเล็กน้อย ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับตัวลงทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 5 ปีปรับตัวลง 0.02% ปิดที่ 2.44% และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีปรับลดลง 0.01% ปิดที่ 3.00% ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจในเดือนตุลาคม ซึ่งปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจนจากเดือนก่อนหน้า ทั้งด้านการบริโภคภาคเอกชน การท่องเที่ยว รวมถึงการส่งออกในเดือนตุลาคมที่ขยายตัวสูงสุดในรอบ 21 เดือนที่ระดับ 3.97% จากเดือนก่อนหน้า และขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมและสินค้าเกษตร
นอกจากนี้ยังประเมินว่าภาครัฐจะสามารถเร่งการใช้จ่ายได้มากขึ้น แต่ยังคงเป็นไปอย่างช้าๆ ซึ่งจะช่วยทำให้เศรษฐกิจในปีหน้าสามารถกลับมาเติบโตได้ที่ระดับปกติจากการลงทุนของภาครัฐเป็นหลัก โดย บลจ.กสิกรไทยประเมินว่า ทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยยังคงมีแนวโน้มทรงตัว และเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ เช่นเดียวกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งคาดว่าจะยังคงที่ ณ ระดับ 2.00% ไปอย่างน้อยจนถึงกลางปี 2558 เพื่อช่วยหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้อย่างมีเสถียรภาพ
สำหรับตราสารหนี้ที่กองทุนเปิดเค เอ็นแฮนซท์ ตราสารหนี้ 6 เดือน ซี (KEFI6MC) จะเข้าไปลงทุนในเบื้องต้นประกอบด้วย เงินฝาก China Construction Bank Corporation เงินฝาก Akbank T.A.S., ประเทศตุรกี ร่วมด้วยตราสารหนี้ Banco BTG Pactual S.A., ประเทศบราซิล และตราสารหนี้ Yapi Kredi Bankasi A.S., ประเทศตุรกี
นอกจากนี้ยังลงทุนในตราสารหนี้ประเทศไทยของธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) โดยกองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน และเป็นกองทุนที่เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่มีสินทรัพย์ในการลงทุนสูงและสามารถยอมรับความเสี่ยงได้มากขึ้น เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน โดยผู้ลงทุนต้องลงทุนด้วยเงินขั้นต่ำ 1,000,000 บาท
อย่างไรก็ตาม สำหรับนักลงทุนทั่วไปที่ยอมรับความเสี่ยงได้ต่ำ แต่ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจกว่าการลงทุนกับตราสารหนี้ภายในประเทศเพียงอย่างเดียว บลจ.กสิกรไทยขอแนะนำกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ 6 เดือน ซีแอล (KFI6MCL) ซึ่งจะลงทุนในเงินฝาก China Construction Bank Corporation เงินฝาก Bank of China
นอกจากนี้ยังลงทุนในตราสารหนี้ประเทศไทยของธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) และธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) รวมทั้งยังลงทุนในตั๋วแลกเงินของบริษัท อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) โดยตราสารที่กล่าวมามีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade) และกองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน ทั้งนี้ผู้ลงทุนสามารถลงทุนด้วยเงินขั้นต่ำเพียง 5,000 บาท