แนะภาครัฐเพิ่มความรู้คนไทยด้านการลงทุนต่อเนื่อง ระบุการออมเพื่อการเกษียณมีการวางแผนอย่างรอบคอบ ทั้งเรื่องเงินเฟ้อ และจำนวนเงินที่ใช้ พร้อมระบุการลงทุนแบบผสมที่หลากหลายจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนที่กระจุกตัว
นายฉัตรรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงศรี จำกัด กล่าวว่า การมีเงินให้เพียงพอไว้ใช้หลังเกษียณอายุเป็นเรื่องที่ต้องมีการวางแผนเอาไว้ว่าจะมีเงินใช้เท่าไร และเริ่มลงทุน ซึ่งมีปัจจัยที่สำคัญที่ต้องคิดคือเรื่องเงินเฟ้อที่ต้องคำนวณในอนาคต
ดังนั้น การออมเงินเพื่อการเกษียญอายุเป็นเรื่องที่ให้คนทำงานควรมีการวางแผนว่าหลังเกษียญควรจะมีเงินใช้เท่าไรถึงจะเพียงพอ ซึ่งพบว่าในต่างประเทศนั้นการออมเพื่อการเกษียณที่ประสบความสำเร็จนั้นจะเป็นรูปแแบที่เกิดขึ้นโดยภาคบังคับจากรัฐบาล
ทั้งนี้ ในส่วนของอุตสาหกรรมกองทุนรวมก็มีผลิตภัณฑ์การลงทุนที่หลากหลายเพื่อรองรับการเกษียณ ในส่วนของ บลจ.กรุงศรี มีผลิตภัณฑ์ที่จัดการลงทุนให้ผู้ลงทุนตามแต่ละช่วงอายุได้เลือก แต่ก็ยังไม่ได้รับความสนใจมากนัก เพราะยังไปเลือกลงทุนในกองทุนที่เน้นเรื่องการให้ผลตอบแทน ซึ่งกองทุนปกติก็ยังมีอยู่ให้เลือกลงทุนได้เช่นกัน
ขณะเดียวกันมองว่า การลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่สามารถเลือกตามแบบของตนเองให้ได้ผลตอบแทนตามความต้องการของตนเอง เป็นการลงทุนเพื่อการเกษียณในอีกรูปแบบหนึ่งเช่นกัน ซึ่งควรมีการให้ความรู้เรื่องการลงทุนต่อเนื่องไป
“การให้ความรู้เรื่องการลงทุนเป็นเรื่องสำคัญ อย่ากลัวเรื่องความเสี่ยงมากเกินไปเพราะจะทำให้เลือกสินทรัพย์ลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีได้ยาก ควรให้ความรู้เพื่อให้ผู้ลงทุนเลือกลงทุนตามความต้องการของตนเอง ขณะเดียวกันภาครัฐควรให้ความรู้เรื่องการลงทุนต่อเนื่อง”
นางวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ กรรมการและที่ปรึกษา สมาคมนักวางแผนการเงินไทย กล่าวว่า ในการวางแผนการลงทุนเพื่อใช้ยามเกษียณนั้นปัจจัยหนึ่งที่ต้องดูคือเรื่องความเสี่ยง พอร์ตการลงทุนควรเป็นการลงทุนแบบผสมในหลากหลายสินทรัพย์ ส่วนคนที่ออมเงินโดยการซื้อประกันมีมาก ซึ่งที่ผ่านมาประกันให้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 3% ต่อปี แต่หากซื้อ ยูนิตลิงก์ เพื่อลงทุนในกองทุนรวม อย่างกองทุนหุ้นและกองทุนผสม จะทำให้พอร์ตการลงทุนได้รับผลตอบแทนที่ดีขึ้น