บลจ.ทิสโก้คาดดอกเบี้ยไทยต่ำถึงปีหน้า แนะลงทุนแบบ “คอมเพล็กซ์ รีเทิร์น” คุ้มครองเงินต้น พร้อมลุ้นผลตอบแทนเพิ่ม ชูกองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า ลิ้งค์ คอมเพล็กซ์ รีเทิร์น 1 เปิดระหว่างวันที่ 19-28 มี.ค. 57 ลิงก์ผลตอบแทนเพิ่มกับดัชนี H-share มั่นใจเศรษฐกิจจีนเติบโตดี แถมหุ้นราคาถูกช่วยหนุน
นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทจะทำการเปิดขาย “กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า ลิ้งค์ คอมเพล็กซ์ รีเทิร์น 1” มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท ระหว่างวันที่ 19-28 มี.ค. 57 นี้ ลงทุนขั้นต่ำ 5,000 บาท โดยกองทุนนี้จะเป็นกองทุนเปิดแบบ “คอมเพล็กซ์ รีเทิร์น” ที่ใช้แนวคิดของการลงทุนเพื่อให้ผู้ลงทุนมีโอกาสได้ผลตอบแทนที่จะอ้างอิงกับของดัชนีตลาดหุ้น และได้รับความคุ้มครองเงินต้นไปในตัว
“กองทุนนี้จะทำให้ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนเพิ่มตามการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้น แต่หากตลาดหุ้นตกก็ไม่ขาดทุนเงินต้น ซึ่งการลงทุนในรูปแบบนี้น่าจะเหมาะกับช่วงที่เศรษฐกิจไทยชะลอตัว ส่งผลให้ล่าสุดทางการต้องลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และคาดการณ์ว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้และเงินฝากจะทรงตัวในระดับที่ต่ำไปจนถึงปีหน้า” นายสาห์รัชกล่าว
สำหรับนโยบายการลงทุนของกองทุนนี้จะแบ่งเงินลงทุนเป็นสองส่วน เงินลงทุนก้อนแรก ซึ่งเป็นเงินลงทุนส่วนใหญ่จะซื้อตราสารหนี้ที่มีคุณภาพดี อายุประมาณ 2 ปี ซึ่งดอกเบี้ยที่ได้จากการลงทุนส่วนนี้จะเติบโตไปจนทำให้เงินลงทุนส่วนแรกนี้เพิ่มขึ้นเท่ากับเงินลงทุนเริ่มแรกหลังหักค่าธรรมเนียมการขายหน่วยลงทุนของผู้ลงทุน ซึ่งเท่ากับว่าผู้ลงทุนมีโอกาสได้ส่วนของเงินต้นคืนจากส่วนนี้
ขณะที่เงินลงทุนส่วนที่สองจะแบ่งไปลงทุนในออปชันที่อ้างอิงผลตอบแทนของดัชนี Hang Seng China Enterprise หรือ H-Share ซึ่งจะเป็นส่วนที่สร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มให้แก่ผู้ลงทุน
ดังนั้น หากใน 2 ปีจากนี้ไปดัชนีดังกล่าวปรับตัวสูงขึ้นจากระดับที่กองทุนเริ่มลงทุนผู้ลงทุนก็จะได้ผลตอบแทนแปรผันไปตามการเพิ่มขึ้นของดัชนี แต่หากในกรณีเลวร้ายสุดคือดัชนีปรับตัวลดลงตลอดกองทุนก็จะไม่ได้ผลตอบแทนอะไร แต่ยังสามารถคืนเงินต้นได้จากเงินลงทุนส่วนแรก
นายสาห์รัชกล่าวอีกว่า เหตุผลที่เลือกอ้างอิงผลตอบแทนกับดัชนี H-share ที่จดทะเบียนซื้อขายในฮ่องกง เพราะบริษัทมองว่าราคาหุ้นจีนกลุ่มนี้ได้ปรับตัวลดลงมามากจนถูกกว่าปัจจัยพื้นฐาน โดยปัจจุบันบริษัทเหล่านี้ซื้อขายในระดับราคาหุ้นต่อกำไรเฉลี่ย (พีอี) 6 เท่า ซึ่งถือว่าต่ำพอๆ กับระดับราคาเมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ เมื่อปี 2553 และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยพีอีเฉลี่ยที่ 11 เท่า ทั้งที่ในปัจจุบันการเติบโตของเศรษฐกิจโลกส่งสัญญาณการฟื้นตัวแล้วไม่เว้นแม้แต่ประเทศจีนเองก็ยังเติบโตในระดับที่สูงกว่าประเทศอื่นๆ มาก เพียงแต่นักลงทุนอาจจะมีความกังวลในระยะนี้เพราะมีตัวเลขเศรษฐกิจของจีนบางตัวที่ส่งสัญญาณชะลอตัว
อย่างไรก็ดี รัฐบาลกลางของจีนก็ประกาศชัดเจนหลังการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีนเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาว่ายังต้องผลักดันให้เศรษฐกิจจีนเติบโตตามเป้าหมายคือร้อยละ 7.5 ทำให้นักวิเคราะห์มองว่ามีความเป็นไปได้สูงที่รัฐบาลจีนจะต้องมีการดำเนินนโยบายการเงินการคลังในเชิงที่ผ่อนคลายเพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจให้ได้เป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งจะส่งผลบวกต่อการลงทุนในตลาดหุ้นจีนในที่สุด
“กองทุนนี้โดดเด่นตรงที่ผู้ลงทุนมีโอกาสรับกำไรได้ไม่จำกัดตามการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นจีน ซึ่งเรามองว่าเป็นตลาดที่ยังมีอัปไซด์สูง น่าจะสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ลงทุนได้ดี อีกทั้งยังมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ทำให้ผู้ลงทุนอุ่นใจได้ถึงเงินต้นที่จะอยู่ครบ” นายสาห์รัชกล่าว