xs
xsm
sm
md
lg

Money Tips : มุมมองต่ออุตสาหกรรมกองทุนปี 2557

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คอลัมน์บัวหลวง Money Tips
โดยวรวรรณ ธาราภูมิ
CEO กองทุนบัวหลวง

    ในธุรกิจกองทุนรวม มีกองทุนใหม่ๆ เกิดขึ้นมากในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา บางกองก็เกิดแล้วรุ่ง บางกองทุนเกิดแล้วแช่ไว้บนหิ้ง จะถอดออกก็ไม่ได้ แต่จากนี้ไปลูกค้าจะคัดเลือกกองทุนมากขึ้น ข้อมูลก็มีให้สืบค้นมากขึ้น ดังนั้น การนำเสนอกองทุนใหม่ๆ จึงต้องตอบโจทย์ให้ผู้ลงทุนให้ได้ และ บลจ.ต้องมั่นใจว่าดีจริง เหมาะสมกับลูกค้าและความชำนาญของ บลจ.เองด้วย ไม่จำเป็นว่าต้องมีกองทุนทุกอย่าง ทุกประเภท แบบที่เคยคิดกันว่าต้องมี Product ให้ครบ ให้ลูกค้าเลือกได้ ไม่จำเป็นเลย

ทิศทางของอุตสาหกรรมจากนี้ไป อุตสาหกรรมน่าจะขยายตลาดด้วยการนำกองทุนมาให้ผู้ลงทุนเลือก ถ้าลูกค้าชอบ ถูกใจ เห็นว่าเหมาะกับแผนการลงทุนของตนเอง ลูกค้าก็จะซื้อ คือเป็นการเปลี่ยนจาก Product Oriented มาสู่ Clients Oriented ซึ่งหมายถึงว่าแต่ก่อนนี้ บลจ.จะผลิตกองทุนแล้วก็ไปอธิบายผู้ขายเพื่อให้นำออกสู่ตลาด คือไปเน้นที่ของของเราว่าดีอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ต่อไปนี้อุตสาหกรรมน่าจะพัฒนาไปยังการสนองตอบต่อความต้องการของลูกค้ามากขึ้น เพราะตลาดทุนเน้นเรื่องทำให้ลูกค้ารู้จักวางแผนการเงินตนเอง ซึ่งเมื่อลูกค้ารู้จักตนเอง มีแผนการเงินเฉพาะตนเองและครอบครัวแล้ว เราก็สามารถเสนอกองทุนที่เรามีอยู่ให้เขาเลือกให้เหมาะกับตัวเขาได้

นี่ถึงจะเป็นพัฒนาการที่ดีขึ้นต่อลูกค้าและอุตสาหกรรม ดังนั้น การจัดกลุ่มกองทุน การนำเสนอ การโฆษณาประชาสัมพันธ์ และการแข่งขัน จึงน่าจะเน้นไปในรูปแบบที่ตอบโจทย์ลูกค้าเฉพาะกลุ่มมากขึ้น

สำหรับ บลจ.ขนาดเล็กที่ไม่มีสาขาธนาคารเป็นตัวแทนขาย จริงอยู่ที่ขนาดที่ใหญ่ เครือข่ายที่กว้างขวางเป็นข้อได้เปรียบในการ Penetrate ตลาด แต่ไม่ได้เป็นข้อจำกัดจนทำให้  บลจ.เล็กๆ จะเสียเปรียบไปทุกเรื่อง  เพราะการทำให้สาธารณชนเชื่อถือใน บลจ.แต่ละแห่งในหลายๆ มิติเป็นคำตอบสำหรับธุรกิจจัดการกองทุน

บลจ.ขนาดเล็กสามารถทำธุรกิจได้ดีหากจะขยับไปสู่การสร้าง Niche Market ที่เหมาะกับความสามารถพิเศษของตนเองให้มากขึ้น ดังนั้น ทุกคนไม่จำเป็นต้องวิ่งแข่งในลู่เดียวกัน หากเสียเปรียบด้านหนึ่งแต่มีจุดเด่นด้านหนึ่งก็สามารถชูจุดที่เหมาะสมของตนเป็นกลยุทธ์ธุรกิจได้ ตลาดยังกว้างมาก

การทำให้สาธารณชนเชื่อถือ บลจ.ในหลายๆ มิติ หมายถึงเชื่อมั่นทั้งในผลการดำเนินงานระยะยาวของกองทุน เพราะธุรกิจของเราเป็นการวิ่งมาราธอนไม่ใช่วิ่ง 100 เมตร รวมไปถึงทำให้เขาเชื่อมั่นในตัวตนของ บลจ.ด้วย นั่นก็เป็นอีกมิติที่สำคัญ

อุตสาหกรรมจึงน่าจะชูนโยบายกับแนวทางบริหารกองทุนและตัวตนหรือสไตล์ที่ บลจ.เป็นจริงๆ ให้มากขึ้น  นี่จึงน่าจะเป็นสิ่งที่ให้คุณประโยชน์แก่ธุรกิจ และนี่คือสิ่งที่ลูกค้าน่าจะคาดหวังมากขึ้น

จริงอยู่ที่ว่าทำธุรกิจหากไม่ได้กำไร จะทำไปทำไม

แต่อุตสาหกรรมควรจะตั้งโจทย์ใหม่ในการทำธุรกิจให้เป็นการตั้งคำถามว่า “ทำอย่างไรถึงจะให้ผู้คนบริหารเงินของตนและครอบครัวให้เป็น ทำอย่างไรถึงจะช่วยให้พวกเขาประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายการเงินที่เขาต้องการ” หากตั้งโจทย์ในการกำหนด Business Model แบบนี้ ก็เชื่อมั่นว่าจะดีต่อผู้ลงทุนและดีต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในระยะยาว ทั้งยังมีความยั่งยืนทางธุรกิจ ดีกว่าจะไปตั้งโจทย์ว่า “ปีนี้เราต้องขายกองทุนเพิ่มอีก 30% หรือต้องเพิ่มส่วนแบ่งตลาดอีกเท่าตัว” ทำให้คนขายต้องขายในสิ่งที่ได้เป้า ได้คะแนน มากกว่าจะไปดูว่ามันเหมาะกับลูกค้าหรือไม่  

เราควรมองไปที่ประโยชน์ต่อลูกค้ามากกว่ามองมาที่กระเป๋าเงินเรา     เพราะโดยธรรมชาติของธุรกิจนี้ คนที่จะยืนอยู่ได้ตลอดเส้นทางระยะยาว จะต้องคิดถึงประโยชน์ของลูกค้ามาก่อนประโยชน์ของเรา

ส่วนผู้ลงทุนที่ต้องการแสวงหากองทุนที่ให้ผลตอบแทนดีๆ การคัดเลือกกองทุนโดยเทียบผลการดำเนินงานนั้นมักจะใช้กับกองทุนหุ้น กองทุนผสมที่เน้นหุ้น กองไหนมีผลงานดีที่สุดก็จะได้เป็นพระเอกนางเอก ซึ่งขอเน้นว่าให้ดูผลงานระยะยาว 3 ปีขึ้นไป

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ดีที่สุดไม่ใช่การทุ่มเทเงินไปในกองทุนที่เก่งที่สุด แต่ต้องเป็นส่วนผสมการลงทุนที่เหมาะที่สุดกับตัวเราซึ่งเป็นผู้ลงทุน คือไม่จำเป็นต้องไปเลือกกองทุนที่ได้ที่หนึ่งเลยหากมันไม่เหมาะกับเรา ซึ่งหมายถึงผู้ลงทุนควรเริ่มต้นด้วยการจัดสัดส่วนการลงทุนของตนเองก่อน

กองทุนรวมที่มีเป้าหมายเพื่อผลตอบแทนระยะยาวนั้นเหมาะสำหรับการลงทุนในระยะยาว การเลือกกองทุนแบบนี้ที่ดีจึงควรเลือกกองทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีได้ในระยะยาว มากกว่ากองทุนประเภทเดียวกันที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดในช่วงสั้น

ในการเลือกลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ หรือเลือกลงทุนในตราสารหนี้ (หุ้นกู้ ตั๋วบีอี ตั๋วแลกเงิน พันธบัตร ฯลฯ) เองโดยตรงโดยไม่ผ่านกองทุน รวมไปถึงการฝากเงินนั้น ผู้ลงทุนควรเน้นไปที่เรื่องความปลอดภัยของเงินต้นมากกว่าจะมองเพียงอัตราดอกเบี้ยสูงเป็นที่ตั้ง

ตัวอย่างเช่น ฝากเงิน 3 ปี กับธนาคารที่มีอันดับเครดิต A  ได้อัตราดอกเบี้ย 3.75% ไม่ได้แปลว่าจะไม่ดีเท่าการซื้อหุ้นกู้เอกชนอันดับเครดิต B อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 5.75% เพราะระดับความสามารถในการคืนเงินต้นและชำระดอกเบี้ยของธนาคารในตัวอย่างนี้ดีกว่าหุ้นกู้ที่ว่า หากเกิดอะไรขึ้น หุ้นกู้ที่ว่าก็จะชำระคืนเงินผู้ลงทุนไม่ได้ (Default) และมีความเสี่ยงสูงกว่าหุ้นไปเลย เนื่องจากถ้าลูกค้ายอมขายตัดขาดทุนก็มักหาคนซื้อไม่ได้

การเลือกลงทุนกองทุนตราสารหนี้ก็เช่นกัน ผู้ลงทุนต้องดูไส้ในด้วยว่ากองทุนเขาลงทุนในอะไร อย่าดูแค่ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าเพียงอย่างเดียว แล้วค่อยตัดสินใจโดยเทียบระหว่างผลตอบแทนกับระดับความเสี่ยงของโอกาสที่จะได้รับเงินต้นคืน

การหาข้อมูลผลการดำเนินงานกองทุนเพื่อเปรียบเทียบกัน ปัจจุบันมีหน่วยงานกลางจัดอันดับให้ Rating กองทุนมากขึ้น ผู้ลงทุนจึงเลือกดู เลือกกองทุนที่เหมาะกับแผนการเงินได้ดีขึ้น แต่ต้องพิจารณาด้วยว่าผู้จัดอันดับหรือรางวัลนั้นๆ น่าเชื่อถือเพียงใด ใช้เกณฑ์แบบไหนในการวัด

หากดูแล้วยังไม่เข้าใจ ไม่แน่ใจเพราะความรู้ในด้านนี้ของเรายังไม่มากนัก ก็ให้ถามไปยังสมาคมบริษัทจัดการกองทุน (AIMC) หรือสำนักงาน ก.ล.ต.ว่าบุคคลหรือสถาบัน องค์กร จัดอันดับให้กองทุนนั้นๆ เชื่อถือได้หรือไม่ ทำตามเกณฑ์มาตรฐานในการจัดอันดับตามที่กำหนดหรือไม่

แต่ที่แน่ๆ ก็มี 2 แห่งที่ให้ข้อมูลได้ตามมาตรฐานกลางที่กำหนดคือ ที่สมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) กับ Morningstar (Thailand)


กำลังโหลดความคิดเห็น