กองทุนประกันภัยพิบัติแห่งชาติเผย 7 บริษัทประกันเสนอขายกรมธรรม์เบี้ยต่ำกว่ากองทุน โดยบริษัทประกันรับความเสี่ยงไว้เองและไม่ส่งต่อให้แก่กองทุน คิดเป็นมูลค่าทุนประกันภัยทรัพย์สิน รวม 2,327,737 ล้านบาท พร้อมประเมินความเชื่อมั่นตลาดประกันภัยไทยกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ กล่าวว่า ปัจจุบันสภาวการณ์ตลาดประกันภัยไทยได้เริ่มปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติและมีการแข่งขันมากขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงหลังการเกิดมหาอุทกภัยปี 2554 ซึ่งขณะนั้นผู้ประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยไม่สามารถรับประกันภัยพิบัติให้แก่ภาคประชาชน และภาคธุรกิจได้ เนื่องจากการทำประกันภัยต่อในตลาดต่างประเทศมีการคิดค่าเบี้ยประกันภัยในอัตราที่สูงมาก และผู้ประกอบการธุรกิจประกันวินาศภัยไม่สามารถรับความเสี่ยงได้เอง
ปัจจุบันสถานการณ์ดังกล่าวได้เปลี่ยนไปภายหลังการจัดตั้งกองทุนฯ ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2555 เป็นต้นมา ซึ่งกองทุนฯ ได้เข้ามากำหนดค่าเบี้ยประกันภัยในอัตราที่ต่ำกว่าราคาตลาดที่ระดับร้อยละ 0.5-1.25 ต่อปี เพื่อสนับสนุนให้ภาคประชาชนและภาคธุรกิจสามารถทำประกันภัยพิบัติได้ในอัตราเบี้ยที่เหมาะสม มีผลให้อัตราค่าเบี้ยประกันภัยต่อลดลงอย่างต่อเนื่อง
นายพยุงศักดิ์ กล่าวต่อว่า การดำเนินงานดังกล่าวส่งผลให้กลไกตลาดของธุรกิจประกันภัยเริ่มทำงาน และระบบการประกันภัยมีเสถียรภาพและมั่นคงเพิ่มขึ้นตามลำดับ สะท้อนจากการรับความเสี่ยงไว้เองของบริษัทประกันภัยเพิ่มขึ้น จากช่วงแรกที่มีความสามารถในการรับความเสี่ยงภัยน้อยมาก โดยขณะนี้มีบริษัทประกันภัยจำนวน 7 แห่ง ได้แก่ บริษัทไอโออิประกันภัย คิวบีประกันภัย สยามซิตี้ประกันภัย สมโพธิ์เจแปนประกันภัย สหมงคลประกันภัย มิตซุย สุมิตโตโม และเมืองไทยประกันภัย เสนออัตราเบี้ยประกันภัยต่ำกว่ากองทุนฯ ร้อยละ 20 และรับความเสี่ยงไว้เองทั้งหมดโดยไม่ส่งต่อให้แก่กองทุนฯ
ทั้งนี้คิดเป็นมูลค่าทุนประกันภัยทรัพย์สินรวมทั้งสิ้น 2,327,737 ล้านบาท แบ่งเป็นในส่วนของทุนประกันภัยลมพายุจำนวน 296,051 ล้านบาท ทุนประกันภัยแผ่นดินไหว 295,493 ล้านบาท และทุนประกันภัยน้ำท่วมจำนวน 64,416 ล้านบาท นอกจากนั้นยังมีบริษัทประกันภัยอีกหลายแห่งได้ขยายการรับความเสี่ยงไว้เองเพิ่มขึ้นและส่งต่อให้กองทุนฯ ลดลง
สำหรับผลการดำเนินงานของกองทุนฯ ตั้งแต่วันที่ 28 มี.ค. 2555-22 ส.ค. 2556 มียอดจำหน่ายกรมธรรม์ประกันภัยพิบัติทั้งสิ้น 1,615,429 ฉบับ เป็นจำนวนกรมธรรม์ที่ยังมีความคุ้มครองอยู่ 1,394,085 ฉบับ ทุนประกันกัยพิบัติที่ยังมีความคุ้มครองอยู่ 90,069 ล้านบาท และทุนประกันภัยต่อตามสัดส่วนของกองทุนฯ ที่ยังมีความคุ้มครองอยู่ 50,735 ล้านบาท
“ผลการดำเนินงานดังกล่าวสะท้อนว่าประชาชนและภาคอุตสาหกรรมมีความเข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญของการทำประกันภัยพิบัติ และเชื่อมั่นในการดำเนินงานของกองทุนฯ ซึ่งทำให้เกิดความมั่นใจว่าหากเกิดภัยพิบัติขึ้นก็จะมีกองทุนฯ ให้ความคุ้มครองทรัพย์สิน และจะช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งมั่นคงให้กับภาคอุตสาหกรรมให้สามารถเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมของโลกต่อไป” นายพยุงศักดิ์กล่าว