นายจงรัก รัตนเพียร ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.) เปิดเผยว่า การบริหารงานของบริษัทตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาถือว่ามีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เป็นไปตามเป้าหมายได้ที่ได้วางไว้ ซึ่งสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) อยู่ที่ 900,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงสิ้นปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 850,000 ล้านบาท หรือมีการเติบโตเพิ่มขึ้น 50,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่นักลงทุนให้ความสำคัญกับกองทุนหุ้นซึ่งถือว่ามีการเติบโต 100%
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตลาดหุ้นไทยยังจะมีความผันผวนจากปัญหาในยุโรปจากรณีไซปรัสและอิตาลี ที่ส่งผลให้นักลงทุนขาดความมั่นใจ การลงทุนในหุ้นทั่วโลกเกิดการชะลอตัวลงไปบ้าง แต่กองทุนหุ้นในต่างประเทศอย่างกองทุนเปิดเค หุ้นยูเอส ดัชนีเอ็นดีคิว 100 (K-USXNDQ) ที่ได้เปิดขายไปในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2556 ที่ผ่านมา โดยกองทุนสามารถให้ผลตอบแทน 8% ตั้งแต่ต้นปี แม้ว่าตลาดหุ้นจะเกิดความผันผวน
“กองทุน K-USXNDQ เป็นกองทุนแรกของไทยที่เปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนได้มีโอกาสรับผลตอบแทนจากดัชนี NASDAQ 100 ซึ่งประกอบด้วยหุ้นนอกภาคการเงิน 100 ตัวแรก และกว่า 60% ของดัชนีประกอบด้วยหุ้นในกลุ่ม IT ซึ่งมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากความกังวลในปัญหา Fiscal Cliff ในสหรัฐฯ เริ่มหมดไป ทำให้บริษัทต่างๆ ที่เคยชะลองบประมาณด้าน IT ลงไปในปีที่แล้วหันกลับมาใช้จ่ายมากขึ้น ทั้งยังคาดกันว่างบประมาณการใช้จ่ายด้าน IT ทั่วโลกจะสามารถเติบโตต่อเนื่องถึงกว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ขณะเดียวกันเมื่อผนวกกับการที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงเติบโตต่อเนื่องโดยมีปัจจัยหนุนจากการบริโภคภาคครัวเรือนในประเทศ รวมถึงทิศทางของราคาหุ้นในกลุ่ม IT ที่มีน้ำหนักลำดับต้นๆ ในดัชนี NASDAQ100 อย่าง APPLE Microsoft Oracle Google และ e-Bay ยังคงมีผลประกอบการที่ขยายตัวได้ดี และมีราคาเป้าหมายที่มีโอกาสเติบโตต่อเนื่องด้วยแล้ว ก็ย่อมจะส่งผลดีต่อภาพรวมของดัชนี NASDAQ และโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจในอนาคต”
ส่วนการแข่งขันการค้าเสรีการลงทุนเพื่อรองรับประชาคมอาเซียน หรือ AEC ถ้าเกิดเปิดตลาดขึ้นจริงๆ เรามองว่า มีผลกระทบที่นักลงทุนจะสามารถเข้าไปลงทุนในต่างประเทศง่ายขึ้นนั้น อาจจะไม่ใช่อุปสรรค เนื่องจากว่า บริษัทเองมองในทางกลับกัน เราก็สามารถดึงนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในบ้านเราได้่ด้วยเช่นกัน ซึ่งขณะนี้บริษัทกำลังศึกษาในรูปแบบของโปรดักต์ต่างๆ อยู่ไว้เพื่อรองรับนักลงทุนกลุ่มนี้
“เพื่อเป็นการรองรับการแข่งขันที่เกิดขึ้น บริษัทอยู่ระหว่างทำการศึกษาในการเสนอขายกองทุนให้กับประเทศเพื่อนบ้านและประเทศที่อยู่ในกลุ่ม AEC สำหรับผลิตภัณฑ์ที่นำเสนอจะมีทั้งกองทุนตราสารหนี้และกองทุนหุ้น รวมถึงบริษัทมีแผนออกกองทุนต่างประเทศที่ให้ผลตอบแทนดีเสนอขายแต่ลูกค้าเช่นกัน”
นายจงรัก กล่าวเพิ่มเติมว่า ในเรื่องของฟองสบู่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่นักวิเคราะห์บางรายอาจจะบอกว่าเกิดขึ้นแล้ว และบางรายอาจจะบอกว่ายังไม่เกิดนั้น ซึ่งที่ดูขณะนี้ตัวเลขยังอยู่ในระเบียบวินัยอยู่ ทุกคนล้วนแล้วแต่มีสติ เนื่องจากว่าเราได้เคยรับประสบการณ์เกี่ยวกับฟองสบู่แตกมาแล้ว แต่ถ้าให้ดูในด้านเศรษฐกิจยังมีการเติบโตที่ดี เชื่อว่าปัญหาดังกล่าวต้องมีการรับมือและเตรียมพร้อม และเราก็มีการเตือนกันอยู่ตลอดเวลาอย่างมีสติ
ส่วนกองทุนอสังหาริมทรัพย์ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่าง เตรียมยื่นขอใบอนุญาต หรือไลเซนส์ ในการเป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ของกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ซึ่งคาดว่าจะเสร็จสิ้นในช่วงประมาณปลายไตรมาส 2 หรือไตรมาส 3
โดยก่อนหน้านี้บริษัทฯ ได้เปิดขายกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เคพีเอ็น (KPN Property Fund : KPNPF) ขนาดกองทุนประมาณ 1,800 ล้านบาท ในเดือนมีนาคม 2556 ที่ผ่านมา เน้นลงทุนในกรรมสิทธิ์สมบูรณ์ (Freehold) ในที่ดินและอาคารเคพีเอ็นทาวเวอร์ บนถนนพระราม 9 ซึ่งเสมือนเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนได้ร่วมเป็นเจ้าของในอสังหาริม ทรัพย์ดังกล่าวโดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องระยะเวลาการถือครองเหมือนการลงทุนลักษณะสิทธิการเช่า
ทั้งนี้ อาคารดังกล่าวตั้งอยู่บนที่ดินขนาดประมาณ 2 ไร่ พร้อมพื้นที่ใช้สอยร่วม 60,000 ตารางเมตรและพื้นที่ให้เช่าประมาณ 26,000 ตารางเมตร นับเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่มีความโดดเด่นในย่านพระราม 9 ที่สามารถสร้างรายได้สม่ำเสมอจากค่าเช่าอาคารสำนักงาน โดยมีอัตราการเช่าพื้นที่สูงกว่า 90% ต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2553 รวมถึงค่าเช่าพื้นที่สื่อโฆษณากลางแจ้ง บนตัวอาคารและจอแสดงภาพ LED ที่สามารถสร้างรายได้ให้แก่กองทุนในระดับสูงเนื่องจากสื่อโฆษณาทั้งหมดสามารถสร้างการรับรู้แก่ผู้ที่ใช้เส้นทางทั้งด้านกรุงเทพฯ ขาเข้าและขาออกได้อย่างดี