บลจ.ไอเอ็นจีมองหุ้นไทยปีนี้คึกคักจากปัจจัยเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว ส่วนปัจจัยภายในประเทศโดยเฉพาะการบริโภค การใช้จ่าย รวมถึงการลงทุนจากรัฐ-เอกชนเข้ามาหนุน ส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสแตะ 1,500 จุด พร้อมโชว์ผลงานกองทริกเกอร์เข้าเป้า 10% จากการลงทุนเพียง 1 เดือน 25 วัน
นายจุมพล สายมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกในปีนี้มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวดีขึ้น โดยมีแรงขับเคลื่อนจากประเทศในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงกลุ่มประเทศเกิดใหม่อีกหลายๆ ประเทศเป็นหลัก จากการบริโภคภายในประเทศและการเติบโตของภาคการลงทุน ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มฟื้นตัวจากภาคการบริโภค การจ้างงาน และการลงทุน ที่ได้รับแรงสนับสนุนจากมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของธนาคารสหรัฐฯ
ส่วนเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นภายหลังการเปลี่ยนแปลงผู้นำใหม่ ซึ่งเชื่อว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน นอกจากนี้ เศรษฐกิจจีนยังคงเติบโตได้ดีจากแรงผลักดันจากการบริโภค และการลงทุนในระบบสาธารณูปโภคของภาครัฐ ที่จะช่วยชดเชยการลงทุนภาคเอกชนที่อยู่ในภาวะชะลอตัว
ขณะที่เศรษฐกิจยุโรปนั้น บลจ.ไอเอ็นจีเชื่อว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของยุโรปยังอยู่ในภาวะอ่อนแอไปจนถึงกลางปี 2013 หรืออาจจะยาวนานกว่านั้น ภายใต้มาตรการช่วยเหลือเศรษฐกิจยุโรปด้วยเงื่อนไขที่เข้มงวด ซึ่งรวมถึงการตั้งเป้าเพื่อลดขาดดุลทางการคลังที่เข้มงวด ตลอดจนการที่ระดับหนี้สาธารณะและอัตราการว่างงานที่ยังคงอยู่ในระดับที่สูง
สำหรับภาวะเศรษฐกิจไทยในปีนี้คาดการณ์ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจจะเป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยก่อนหน้านี้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวในระดับ 4.8% ลดลงจากปี 2012 ที่ขยายตัว 5.7% อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่าในขณะที่ปัจจัยภายนอกประเทศยังคงมีความผันผวน ปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะมาจากการบริโภคภายในประเทศ การใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐและเอกชน รวมถึงการฟื้นตัวของภาคการส่งออก โดยการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐมาจากโครงการจัดการระบบป้องกันน้ำท่วมมูลค่าประมาณ 3 แสนล้านบาท และโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานอื่นๆ มูลค่าประมาณ 2.2 ล้านล้านบาท ที่จะเริ่มเห็นความคืบหน้ามากขึ้นนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ของปี 2013 นอกจากนี้ หากเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ก็จะช่วยเสริมความเข้มแข็งของภาคการส่งออก ซึ่งจะช่วยชดเชยความเสี่ยงในกรณีที่โครงการลงทุนของรัฐอาจมีความล่าช้าไปได้
นายจุมพล กล่าวต่อว่า บลจ.ไอเอ็นจียังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทย โดยปัจจัยสนับสนุนสำคัญมาจากการที่ตลาดหุ้นในเอเชียยังคงได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก จากสภาพคล่องทั่วโลกยังคงอยู่ในระดับสูง ภายหลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ประกาศนโยบายอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบเดือนละ 85,000 ล้านเหรียญ จากมาตรการ QE3 จำนวน 40,000 ล้านเหรียญ และ QE4 อีก 45,000 เหรียญ นอกจากนี้ การที่อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกอยู่ในระดับต่ำ ส่งผลให้การลงทุนในหุ้นยังเป็นอีกทางเลือกที่ยังคงให้ผลตอบแทนที่สูงแก่นักลงทุน รวมถึงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ช่วยสนับสนุนการบริโภคภายในประเทศ จากการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ การลงทุนของภาคเอกชน และการบริโภคภายในประเทศ ด้วยนโยบายการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจากระดับ 23% ในปี 2012 เป็น 20% ในปี 2013 ตลอดจนการปรับค่าแรงขั้นต่ำ และการปรับโครงสร้างภาษีบุคคลธรรมดา-ลดอัตราสูงสุดเหลือ 35% จากเดิม 37% ซึ่งเป็นผลเชิงบวกต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจภาคประชาชน
โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากอัตราการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนที่ยังคงมีแนวโน้มที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเดียวกันในแง่การเติบโตของกำไรและมูลค่าตลาดแล้ว ตลาดหุ้นไทยยังคงน่าสนใจด้วยค่าพีอี เรโช ของตลาดที่ยังคงอยู่ในระดับที่ถูกกว่าตลาดหุ้นในกลุ่มภูมิภาคอาเซียน ในขณะที่การเติบโตของกำไรยังคงเติบโตในระดับที่สูงกว่า โดยคาดการณ์การเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยที่ 19.1% และระดับ PER ที่ 10.5 เท่าในปี 2013 (ที่มา : UBS 28 พฤศจิกายน 2012)
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทยยังให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงเป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคที่ 3.1% รองจากตลาดหุ้นมาเลเซียและสิงคโปร์เท่านั้น ซึ่งจากปัจจัยทั้งหมดทำให้นักวิเคราะห์หลายสำนักต่างคาดการณ์ SET Index ในปี 2013 ในเชิงบวกว่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น และมองว่ามีโอกาสจะปรับตัวขึ้นไปถึง 1,500 จุด โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะมีแนวโน้มผลประกอบการที่ดี ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคภายในประเทศ เช่น กลุ่มพาณิชย์และอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์จากการลงทุนภาครัฐ เช่น กลุ่มรับเหมาก่อสร้างและวัสดุก่อสร้าง
“ภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในปี 2013 ยังคงน่าลงทุนต่อเนื่อง จาก 3 เครื่องมือการขับเคลื่อนหลัก คือ การลงทุนของภาครัฐ การบริโภคของภาคประชาชน และการลงทุนของภาคเอกชนที่เป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญในการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ การขยายตัวของกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนที่ยังโตต่อเนื่องจะเป็นสิ่งจูงใจให้นักลงทุนต่างชาติยังคงให้ความสนใจในตลาดหุ้นไทย โดยปัจจัยเสี่ยงยังคงมาจากภายนอกประเทศเป็นหลัก ทั้งปัญหาหนี้สาธารณะของประเทศกลุ่มยูโร และการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ”
ล่าสุดมูลค่าหน่วยลงทุนของกองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย ทริกเกอร์ 10% (7) สามารถเข้าถึงเป้าหมาย 11.00 บาทต่อหน่วยได้เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2013 โดยมีมูลค่าหน่วยลงทุนอยู่ที่ 11.0190 บาทต่อหน่วย คิดเป็นระยะเวลาลงทุนเพียง 1 เดือน 25 วัน ซึ่ง บลจ.ไอเอ็นจีจะทำการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนจากผู้ถือหน่วยทุกรายในวันที่ 9 มกราคม 2013 และจะนำเงินค่าขายคืนหน่วยลงทุนไปลงทุนในกองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย แคช แมเนจเม้นท์