รายงานข่าวจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า จากการที่ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมชราภาพ ประกอบกับประชากรสูงวัยที่ต้องเลี้ยงดูตนเองมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณนั้น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เล็งเห็นถึงความสำคัญของการเตรียมตัวเพื่อรับมือกับประเด็นดังกล่าว จึงทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่างซึ่งให้ภาพที่สะท้อนว่า แม้แรงงานส่วนใหญ่จะตระหนักถึงความสำคัญของทางการออมเพื่อเกษียณ แต่การตั้งเป้าหมายเงินออมหลังเกษียณที่ส่วนใหญ่น่าจะยังคงไม่เพียงพอต่อการรองรับค่าใช้จ่ายขั้นพื้นฐานในยามชรา หมายความว่า แรงงานคงจำเป็นต้องออมเงินเพิ่มเติม ซึ่งแนวทางที่สามารถดำเนินการได้นั้น แรงงานอาจพิจารณาเลือกขยายสัดส่วนการส่งเงินสะสมของลูกจ้างในแต่ละเดือนสำหรับการออมภาคบังคับ/ภาคสมัครใจ การขยายระยะเวลาการเกษียณอายุการทำงานให้นานขึ้น รวมไปถึงการแสวงหารายได้เพิ่มเติมจากอาชีพอื่นๆ ที่เหมาะสมกับสุขภาพและความสามารถของตน โดยเฉพาะเพื่อรับมือในยามเกษียณจากงานประจำ ซึ่งคงจำเป็นต้องมีวินัยในตนเองประกอบด้วย
สำหรับแรงงานบางกลุ่มที่มีเงินออมอยู่แล้วนั้น เพื่อให้เงินออมงอกเงย การรู้จักผลิตภัณฑ์ทางการเงิน น่าจะช่วยตอบโจทย์ด้านการออมเพื่อเกษียณได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันสถาบันการเงินก็มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายให้เลือกใช้บริการ ไม่ว่าจะเป็น ประกันชีวิต กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพและกองทุนรวมหุ้นระยะยาว ท่ามกลางแรงจูงใจของภาครัฐผ่านการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีด้วย
ทั้งนี้ คาดว่าหากแรงงานทั้งในระบบและนอกระบบต่างมีการวางแผนทางการเงินและจัดสรรการใช้เงินในช่วงที่อยู่ในวัยแรงงานอย่างมีประสิทธิภาพแล้วนั้น จะทำให้การตอบโจทย์ภาระค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพหลังเกษียณคงจะเป็นไปอย่างไม่ยากมากนัก ซึ่งนอกจากจะช่วยทำให้แรงงานสามารถก้าวเข้าสู่วัยเกษียณอายุได้อย่างมั่นคงและมั่นใจมากขึ้นแล้ว ก็ยังส่งผลดีต่อสังคมในภาพรวมทั้งการลดปัญหาเชิงสังคมและเศรษฐกิจได้ในระยะยาวอีกด้วย