บลจ.แนะลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มหลังสหรัฐฯ อัด QE3 เชื่อหุ้นเอเชีย-ทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก ระบุเอเชียได้รับอานิสงส์เงินทุนไหลเข้าต่อเนื่อง พร้อมคาดหุ้นจีนโดดเด่นสุด เหตุเศรษฐกิจยังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง แถมได้แรงหนุนจากการเมืองหลังเปลี่ยนผู้นำใหม่ช่วงเดือนตุลาคม
นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) วรรณ จำกัด เปิดเผยว่า มาตรการผ่อนคลายทางการเงินรอบที่ 3 ของเฟดเป็นการแก้ไขปัญหาความอ่อนแอของตลาดแรงงานในสหรัฐฯ หลังจากอัตราการว่างงานอยู่ในระดับสูงกว่า 8% ตั้งแต่ปี 2552 และกระตุ้นความเชื่อมั่นเพื่อให้เกิดการลงทุน การจ้างงาน และการใช้จ่าย
นอกจากนี้ การที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะเข้าซื้อหลักทรัพย์ที่ได้รับการค้ำประกันจากสัญญาจำนอง (MBS) ในวงเงิน 4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐต่อเดือนจนกว่าแนวโน้มในตลาดแรงงานจะปรับตัวดีขึ้น และอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ภายใต้การควบคุม ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะส่งผลดีต่อสินทรัพย์เสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นหุ้น ทองคำ หรือน้ำมัน
“มาตรการอัดฉีดเงินที่เข้ามาในระบบและการตรึงอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำ 0-0.25% จนถึงปี 2015 จะส่งผลต่อราคาของสินค้าโภคภัณฑ์ และหุ้น โดยราคาทองคำนั้น บลจ.วรรณมองว่ามีโอกาสดีดตัวขึ้นไปได้ถึง 1,900 ดอลลาร์/ออนซ์ ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนต์มีโอกาสไปได้ถึง 125 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในส่วนของหุ้นนั้นมีโอกาสได้เห็นดัชนี 1,300 จุดในปีนี้” นายวินกล่าว
ด้าน นางสาววรสินี สังวรเวชภัณฑ์ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ทิสโก้ เวลธ์ เปิดเผยว่า สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้บริษัทมองว่าการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงยังมีความน่าสนใจ โดยเฉพาะตลาดหุ้น เพราะยังคงมีสัญญาณที่เป็นบวก จึงถือเป็นช่วงจังหวะการกลับเข้ามาสะสมหุ้นอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต้องเน้นการ selective มากขึ้น ทั้งนี้เพราะเมื่อพิจารณาการไหลเข้า-ออกของเงินทุนในตลาดหุ้นต่างๆ พบว่า เงินทุนที่ไหลออกจากตลาดหุ้นไม่ได้เกิดขึ้นทุกตลาด แต่จะแยกได้ชัดเจนระหว่างตลาดหุ้นของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วกับกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา โดยเงินทุนไหลออกจากตลาดที่พัฒนาแล้ว และกลับไหลเข้าในประเทศกำลังพัฒนา เพราะเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาเติบโตสูงกว่าประเทศพัฒนาแล้ว
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าแนวโน้มการไหลของเงินทุนจะเป็นแบบนี้ต่อไประยะหนึ่ง ดังนั้น แนะนำให้เน้นลงทุนในประเทศที่กำลังพัฒนา (Emerging Market) คือ ตลาดหุ้นเอเชียแปซิฟิกไม่รวมญี่ปุ่น ที่ยังมี Upside ที่น่าสนใจในการลงทุน
แนะลงทุนหุ้นเอเชีย-ทองคำ
นายวิน กล่าวอีกว่า จากสถานการณ์ดังกล่าว บริษัทได้แนะนำผู้ลงทุนให้ปรับสัดส่วนการลงทุนไปในสินทรัพย์เสี่ยงไปแล้วในช่วงก่อนหน้า ซึ่งปัจจุบันยังคงแนะนำให้กระจายการลงทุนไปในบางกองทุนเพิ่มขึ้น เช่น กองทุนเปิดวรรณพลัสวรรณ (ONE+1) ซึ่งเน้นลงทุนในหุ้นประเภทที่ปรับตัวตามวัฏจักรธุรกิจ (Cyclical stocks) เช่น หุ้นกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี และธนาคาร ซึ่งน่าจะได้รับผลดีจากปริมาณเงินที่อัดฉีดเข้าในระบบ รวมถึงกองทุนประเภทสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น กองทุนวรรณออยล์ (ONE-OIL) ที่อ้างอิงราคาน้ำมันดิบเบรนต์ และกองทุนอีทีเอฟทองคำ GOLD99 ที่อ้างอิงทองคำแท่งความบริสุทธิ์ 99.99%
นางสาววรสินี กล่าวอีกว่า เมื่อพิจารณาตลาดหุ้นเอเชียแปซิฟิกทั้งหมด TISCO Wealth มองว่าตลาดหุ้นจีนยังมีความโดดเด่นและน่าลงทุนมากที่สุด โดยคาดว่าเศรษฐกิจจีนจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากความพยายามของรัฐบาลจีนที่เร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตได้ตามเป้าหมาย 7.5% เช่น การออก Stimulus Project จำนวน 8 ล้านล้านหยวนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ธนาคารกลางจีนได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงแล้ว 3 ครั้งตั้งแต่เดือน พ.ย.ปีที่ผ่านมา รวมเป็น 1.50% ซึ่งเป็นการเสริมสภาพคล่องในระบบได้ถึงประมาณ 1.2 ล้านล้านหยวน ธนาคารกลางจีนยังยืดหยุ่นให้ธนาคารพาณิชย์ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จนเหลือ 6% (จาก 9% กว่า) และคาดว่าธนาคารกลางจะลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงอีก 1% ในเร็วๆ นี้ ธนาคารกลางยังได้อัดฉีดเงินทุนเข้าธนาคารพาณิชย์โดยผ่านการซื้อพันธบัตร โดยมีสัญญาขายคืน 278,000 ล้านหยวน เข้าสู่ตลาด Inter Bank เพื่อใช้เป็นมาตรการทดแทนการลดการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์
จากความพยายามที่มีอย่างต่อเนื่องดังกล่าว จึงคาดว่าเศรษฐกิจจีนจะไม่เกิด Hard Landing และสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายดังกล่าว ซึ่งถือว่าเป็นเศรษฐกิจที่เติบโตเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ทำให้บริษัทยังคงมีมุมมองบวกต่อการลงทุนในตลาดหุ้นจีน อีกทั้งตลาดหุ้นจีนยังคงมีปัจจัยที่สนับสนุนการลงทุน คือ ราคาหุ้นถูกเมื่อเทียบกับภูมิภาคถึง 30% โดยปัจจุบันค่า P/E ของตลาดหุ้นจีนอยู่ที่ประมาณ 8.7 เท่า เมื่อเทียบกับภูมิภาคซึ่งอยู่ที่ประมาณ 11.2 เท่า ซึ่งหากตลาดหุ้นจีนกลับเข้าไปซื้อขายในระดับเดียวกับภูมิภาค คาดว่าตลาดหุ้นจีนจะมี Upside จากระดับปัจจุบันเกือบ 30%
นอกจากนี้ บริษัทยังคาดว่าตลาดหุ้นจีนจะได้รับแรงหนุนจากเรื่องการเมืองในช่วงการเปลี่ยนผู้นำจีน โดยการเปลี่ยนผู้นำจีนในช่วงเดือน ต.ค. 2012-มี.ค. 2013 คาดว่าจะมีเม็ดเงินไหลเข้ากระตุ้นเศรษฐกิจเป็นจำนวนมาก เพราะที่ผ่านมาในช่วงถ่ายโอนอำนาจและมีผู้นำใหม่เข้ามามักจะเร่งการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของจีน จะส่งผลบวกโดยตรงต่อภาพตลาดหุ้นจีน จากการพิจารณาการเปลี่ยนผู้นำจีน 4 ครั้งล่าสุด พบว่า ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนผู้นำจีน ตลาดหุ้นจีนจะปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งเป็นลักษณะคล้ายกับตลาดหุ้นหลายๆ ประเทศในโลก