xs
xsm
sm
md
lg

ไม่มีคำว่า บังเอิญ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


รอบตัวเรา เรามักพบคนที่ประสบความสำเร็จปะปนอยู่เสมอ ทั้งแบบที่ประสบความสำเร็จระดับประเทศ ประสบความสำเร็จระดับวงการวิชาชีพ หรือแม้แต่คนที่ประสบความสำเร็จในด้านการลงทุน ผ่านสื่อต่างๆ การเรียนรู้จากคนเหล่านั้นผมว่า เป็นเรื่องดี เพราะโลกนี้ มันไม่หรอกครับ เรื่องความบังเอิญ บังเอิญรวย บังเอิญผลิตสินค้าแล้วขายดี บังเอิญทำธุรกิจแล้วร่ำรวย มีชื่อเสียง

แม้แต่ในแวดวงนักลงทุน ที่ประสบความสำเร็จ คนเหล่านั้นเขาไม่ได้มาจากความบังเอิญ ไม่ใช่ว่ามายืนจุดนี้ได้จากการจับฉลากหรือเสี่ยงเซียมซีได้เลขสวย แล้วเทพเจ้าก็ประธานพรให้ประสบความสำเร็จ ได้เป็นคนสำคัญ ผมยังจำคำที่ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งสอนได้ว่า คนที่เก่ง คนที่รวย คนดี คนเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพราะความบังเอิญ

ผมเองชอบอ่านหนังสือ เรียกว่าอ่านมากกว่าเขียนหลายเท่านัก หนังสือประเภทหนึ่งที่ผมชอบมากคือ หนังสือ อัตชีวประวัติ ของบุคคลสำคัญ ยิ่งตอนนี้หากินกับการลงทุน ก็จะชอบอ่านชอบศึกษาประวัติของนักลงทุนและนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมากเป็นพิเศษ

นักลงทุนหรือนักธุรกิจ หลายคนที่ผมศึกษาเกือบ 80% ไม่มีคำว่าบังเอิญ คนเหล่านั้นมาจากศูนย์ สร้างตัวเอง พัฒนาตัวเองจนประสบความสำเร็จ เขาผ่านวิกฤติของชีวิตมากมาย เผชิญปัญหาหนักๆ ผ่านความล้มเหลว มานับไม่ถ้วน ซึ่งหล่อหลอมให้เขามีวันนี้ กลายเป็นของจริงได้

ส่วนอีก 20% เส้นทางอาจจะไม่หินมากเท่ากลุ่มแรก คนในกลุ่มนี้มี แรงหนุน มีข้อได้เปรียบบางอย่างที่คอยช่วย เช่น ฐานะทางบ้านดี, หน้าตาดี , ครอบครัวส่งเสริม สนับสนุน หรือมีเครือข่าย เป็นต้น แต่คนใน 20% ก็ต้องพิสูจน์ตัวเอง ไม่ต่างอะไรกับคนกลุ่มแรก เพื่อที่จะลิ้มรสความสำเร็จ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย หรือมีคนมาอุปถัมภ์

ส่วนใหญ่คนที่ได้อะไรมาง่ายๆ ประเภทแบบมีคนคอยประเคนหรือป้อนให้ถึงมือ ถ้าไม่มีความสามารถจริง สุดท้ายก็ไปไม่รอด รักษาไว้ไม่ได้ ล้มเหลวทั้งนั้น คนที่เป็นของจริงประสบความสำเร็จจากความสามารถจริงๆ เราจะดูออก ระยะเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์แต่ถ้าพวก มาเร็วไปเร็ว พวกนี้คือ ของปลอม

ตัวอย่างของความไม่บังเอิญอันหนึ่งที่ผมชอบมาก คือ เรื่องของเศรษฐีหนุ่มนักลงทุน ที่มาจากสลัม ชาวศรีลังกา คุณ Chamath Pali Hapitiya คนนี้ร่ำรวยเป็นเศรษฐีตั้งแต่อายุ 30 กว่าๆ พื้นเพมาจากครอบครัวที่ยากจน โดยทั้งครอบครัวเป็นผู้อพยพ ลี้ภัยจากศรีลังกามาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่แคนนาดา ชีวิตในวัยเด็กยากจนถ้าเทียบกับมาตรฐาน แม้จะย้ายมาอยู่ในแคนนาดาแต่ Chamath ก็ยังใช้ชีวิตแบบพลเมืองชั้นสองในค่ายอพยพ ด้วยความมานะ อยากจะรวย อยากมีชีวิตที่ดีตั้งแต่เด็ก ทำให้ เขามุมานะขยันเรียน ส่งผลให้ได้รับทุนการศึกษา จนจบการศึกษาปริญญาตรี ด้านวิศกรรมไฟฟ้า ระหว่างเรียนก็ทำงานพิเศษ เก็บเงินและหาช่องทางทำธุรกิจมาโดยตลอด

Chamath จบปริญญาตรีแล้วได้เข้าทำงานบริษัทด้านการเงินการลงทุน ในตลาดหุ้นและอนุพันธ์ของอเมริกา ด้วยความสนใจในตลาดหุ้นเป็นทุนเดิม โดย เขาทำงานเป็น Derivatives Trader และนักวิเคราะห์ด้านการลงทุนที่ BMO Nesbitt Burns ประมาณ ปีกว่าๆใน ในปี 2001 คุณ Chamath ก็ได้ออกจากบริษัท หันมาทำงานด้านคอมพิวเตอร์ IT ในบริษัทเกี่ยวกับโปรแกรมฟังเพลงและระบบบริการเพลง เช่น Winamp และ Spinner.com
Chamath Pali Hapitiya (รูปประกอบจากอินเตอร์เน็ต)
จากนั้นก็ย้ายมาทำงานที่ AOL ดูแลสายงานบริหารในตำแหน่ง Vice President และ General Manager จนถึงปี 2005 หลังวิกฤติฟองสบู่ดอทคอม ของอเมริกา คุณ Chamath มองเห็นโอกาสของการเติบโตของบริษัท IT ในซิลิกอนวัลเลย์ ปี 2006 คุณ Chamath ก็ได้เข้ามาทำงานกับ Venture Capital(VC) ชื่อ Mayfield Fund ซึ่งลงทุนในธุรกิจเกิดใหม่ ด้าน เทคโนโลยีต่างๆและ ไอที ปัจจุบันมูลค่าสินทรัพย์ที่บริหารสูงถึง $2.8 billion ซึ่งเป็นกองทุนขนาดใหญ่อันดับที่ 13 ของอเมริกา โดยเขารับตำแหน่งเป็นนักวิเคราะห์ และที่ปรึกษาด้านการลงทุนของบริษัท ทำหน้าที่มองหาบริษัทเกิดใหม่ด้านอินเตอร์เน็ต มีเดียและ IT เพื่อให้กองทุนเข้าลงทุน

จากนั้นก็ได้เข้ามาทำงานกับ Facebook ตำแหน่ง vice president จนปี 2011 เขาได้ลาออกจาก facebook มาตั้ง Venture Capital(VC) ของตัวเองชื่อ The Social+Capital Partnership และทำหน้าที่เป็นผู้บริหารกองทุน มูลค่าเงินลงทุน $300 million ซึ่ง คุณ Chamath ถือหุ้นกองทุนถึง 20% มูลค่าประมาณ $60 million และยังมีผู้ถือหุ้นในกองทุน ชื่อดังคนอื่นๆอีก

อาทิเช่น Adam D’Angelo (ผู้บริหารเก่าของ facebook และเป็น Founder & CEO of Quora ), Kevin Rose เจ้าของเว็บข่าวบนโซเซียลมีเดีย Digg.com, Charles Coleman( hedge fund manager ของ Tiger Global Management) และ Joe Hewitt ผู้เริ่มพัฒนาโปรแกรมเว็บบราวเซอร์ Firefox ซึ่งกองทุนนี้ก็จะ เน้นไปที่การลงทุนในบริษัทด้านเทคโนโลยี, สุขภาพ, การศีกษา และ บริการทางการเงิน

ปัจจุบัน Chamath ในวัย 34 ปีก็ยังไล่ตามความฝันอย่างไม่หยุด แม้เขาจะกลายเป็นเศรษฐีเงินล้าน เป็นผู้จัดการกองทุน ที่มีชีวิตที่ดีกว่าเด็กยากจนในครอบครัวอพยพแต่ก่อนมาก

ชีวิตแบบนี้น่าศึกษาครับ เพราะการที่มาถึงวันนี้ได้คนเหล่านี้ ต้องผ่านอุปสรรค์ ต้องเอาชนะตัวเอง และทำอะไรมากมาย ถึงจะประสบความสำเร็จในสายตาของคนทั่วไป เรียกว่า ไม่มีคำว่า "บังเอิญ"

ดังนั้นเมื่อเราเห็นใครที่ประสบความสำเร็จ อย่าไปคิดว่า คนเหล่านั้นฟลุ๊ค หรือบังเอิญ จงตั้งสติ ใช้ปัญญามองสิ่งที่เขาทำ มองเส้นทางที่เขาผ่าน เราจะพบ กลยุทธในการดำเนินการ วิธีสร้างโอกาส และวิธีการรับมือกับอุปสรรค์ ความล้มเหลวต่างๆที่ผ่านเข้ามา ซึ่งถ้าเราเรียนรู้และนำมาประยุกต์ใช้อย่างเข้าใจ ก็จะเกิดประโยชน์กับตัวเอง

ถ้าเราอยากประสบความสำเร็จ ก็จงอย่าไปติดกับคำว่า บังเอิญ หรือเชื่อในโชคชะตา (ประมาณว่ารวยเพราะโชคดี ดวงดี) พยายาม ตั้งใจทำปัจจุบันให้ดีที่สุด อย่ายอมแพ้ต่ออุปสรรค์ เพื่อที่วันหนึ่ง เราสามารถไปถึงจุดหมายปลายทาง ได้ลิ้มรสความสำเร็จ ในสักวันครับ

ชัยภัทร เนื่องคำมา
www.cway-investment.com


กำลังโหลดความคิดเห็น