ก.ล.ต.ประเมินกระทรวงการคลังเห็นชอบประเด็นเรื่องการยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีปันผล กองทุนอินฟราสตรักเจอร์ฟันด์ตามที่ ก.ล.ต.เสนอ คาดกฤษฎีกาตีความเสร็จภายใน 1-2 เดือนนี้ ขณะที่ บลจ.กสิกรไทยรอความชัดเจนเรื่องภาษี พร้อมลุยจัดตั้งกองทุนทันที
นายธวัชชัย พิทยโสภณ ผู้อำนวยการฝ่ายงานเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า การยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีปันผล และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับกองทุนอินฟราสตรักเจอร์ ฟันด์มีข้อยุติเรียบร้อยแล้ว โดยกระทรวงการคลังเห็นชอบตามที่ ก.ล.ต.เสนอทุกประการ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบความถูกต้องของถ้อยคำทางกฎหมาย จากคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งคาดว่าน่าจะแล้วเสร็จใน 1-2 เดือนนี้
ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง และกรมสรรพากรพิจารณาเห็นชอบตามที่ ก.ล.ต. เสนอ 3 ประการ ประการแรก ให้ยกเว้นภาษีเงินปันผล สำหรับผู้ลงทุนในกองทุนอินฟราสตรักเจอร์ฟันด์เป็นเวลาอย่างน้อย 10 ปี ประการต่อมา คือการยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับทรัสตี และภาษีเงินได้สำหรับผู้ขายทรัพย์สิน โดยให้พิจารณาเสมือนกองทุนรวมทั่วไป ซึ่งไม่เคยเสียภาษีธุรกิจเฉพาะและภาษีเงินได้ และประการสุดท้าย ให้ลดหย่อนค่าธรรมเนียมในการโอนทรัพย์สินจากปกติ 2% เหลือ 0.01%
สำหรับกองทุนโครงสร้างพื้นฐานสามารถลงทุนได้ในสินทรัพย์ 8 ประแภท ได้แก่ ระบบถนน, ระบบราง, โรงไฟฟ้า, ระบบน้ำสำหรับอุปโภคบริโภคและอุตสาหกรรม, สนามบิน, ท่าเรือน้ำลึก, โทรคมนาคม และพลังงานทางเลือก ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสนับสนุนให้ไทยเป็นศูนย์กลาง (Hub) ในภูมิภาคที่จะเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะพม่าที่กำลังจะมีโครงการท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหรกรรมทวาย รวมถึงเชื่อมต่อกับจีน และอินเดีย
ขณะที่นายยอำพล โพธิ์โลหะกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า หากมีความชัดเจนเรื่องของการเสียภาษีของกองทุนอินฟราสตรักเจอร์ฟันด์ ทาง บลจ.ก็พร้อมจะตั้งกองทุนทันที ซึ่งหลังจากนั้นก็จะเร่งทำความเข้าใจให้นักลงทุนรายย่อยทราบถึงวิธีการลงทุนและการได้รับผลตอบแทน เนื่องจากการลงทุนในลักษณะนี้เป็นเรื่องใหม่
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้( 23) ธนาคารกสิกรไทย และบริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) ผู้ลงทุนในกลุ่มบริษัท โซล่า เพาเวอร์ จะจัดให้มีพิธีลงนามสัญญาแต่งตั้งธนาคารกสิกรไทยเป็นที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อระดมทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานอีกด้วย
ทางด้านนายวรพล โสคติยานุรักษ์ เลขาธิการสำนักงาน ก.ล.ต. กล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับการขอยกเว้นภาษีเงินปันผลจากการลงทุนในกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ว่า ทางสำนักงานได้เสนอการยกเว้นภาษีดังกล่าวต่อกระทรวงการคลังตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันยังอยู่ระหว่างรอผลการพิจารณา ซึ่งคาดว่าน่าจะได้รับการพิจารณาเห็นชอบ
“ตลาดอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในภูมิภาค ซึ่งได้แก่ สิงคโปร์ และฮ่องกง ไม่มีการจัดเก็บภาษีซ้ำซ้อน รวมทั้งมีการยกเว้นภาษีเงินปันผลสำหรับกอง REIT ซึ่งหากระบบการจัดเก็บภาษีของไทยยังเป็นอุปสรรคในการลงทุน และมีความแตกต่างกับภูมิภาค จะทำให้ขาดแรงจูงใจในการลงทุนและเป็นอุปสรรคต่อการแข่งขันในเชิงธุรกิจ” นายวรพลกล่าว
ทั้งนี้ ความร่วมมือในการซื้อขายหลักทรัพย์ฯ ระหว่างประเทศในอาเซียนกำลังเริ่มขึ้น โดยตลาดหลักทรัพย์ไทยกับตลาดสิงคโปร์ และมาเลเซีย จะเริ่มขึ้นในเดือนหน้า ผ่าน Asean Linkage Board และในอนาคตอันใกล้มีการเตรียมความพร้อมกับตลาดในภูมิภาคเพื่อให้สามารถซื้อขายและออกหลักทรัพย์ เช่นการซื้อขายกองทุนตราสารหนี้ระหว่างกันได้อย่างเสรี โดย ก.ล.ต.แต่ละประเทศอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อม ทั้งด้านกฎระเบียบ กระบวนการออกหลักทรัพย์ ระบบการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ เพื่อรองรับธุรกรรมดังกล่าว