บลจ.ประสานเสียงการขยายเวลาคุ้มครองเงินฝากออกไปไม่กระทบการเติบโตของ อุตสาหกรรมกองทุนรวม เพราะแม้จะลดวงเงินผู้ฝากเงินก็ยังไม่ย้ายเงินในทันที ระบุยังเดินหน้าออกกองทุนรับดีมานด์นักลงทุนเช่นเดิม
นายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.กรุงศรี กล่าวว่า บริษัทไม่มีแผนที่จะปรับเป้าหมายการเติบโต หากมีการขยายเวลาคุ้มครองเงินฝากออกไป และเชื่อว่ากองทุนตราสารหนี้จะยังได้รับความสนใจจากนักลงทุนเหมือนเดิม โดยเฉพาะกองทุนตราสารหนี้ที่มีระยะเวลาการลงทุนที่ชัดเจน
“ประเด็นการลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากเหลือ 1 ล้านบาท ก็เปิดโอกาสให้เราพูดคุยกับลูกค้าได้มากขึ้น และทำการตลาดได้ง่ายขึ้น แต่หลังจากนี้ก็คงมีความท้าทายมากขึ้นในการทำการตลาด แต่เชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบมากนัก เพราะแม้จะลดวงเงินคุ้มครองลง ผู้ฝากเงินก็คงจะไม่ย้ายเงินฝากกันในทันที นอกจากนี้ ในภาวะดอกเบี้ยต่ำจะเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้ฝากเงินมองหาผลตอบแทนที่มากขึ้น” นายฉัตรพีกล่าว
นายศุภกร สุนทรกิจ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เกียรตินาคิน กล่าวว่า บริษัทยังคงเป้าหมายการเติบโตของมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ในปีนี้ให้แตะระดับ 3 หมื่นล้านบาท แม้การคุ้มครองเงินฝากจะเลื่อนบังคับใช้ออกไป จากเดิมวันที่ 11 ส.ค.นี้จะลดวงเงินคุ้มครองต่อคนต่อบัญชีเหลือ 1 ล้านบาทก็ตาม
“เดิมเราคาดหวังว่ากองทุนคุ้มครองเงินต้นจะเป็นตัวชูโรงและดึงดูดผู้ฝากเงินให้เข้ามาลงทุนหลังจากคุ้มครองเงินฝากลดลง แต่เมื่อเลื่อนออกไปเราก็คงต้องหากองทุนใหม่ๆ ออกมานำเสนอนักลงทุน”นายศุภกรกล่าว
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างขอไลเซนส์การใช้อนุพันธ์บริหารจัดการกองทุน ซึ่งหากได้รับการอนุมัติบริษัทคงจะออกกองทุนใหม่ๆ ที่ใช้อนุพันธ์บริหาร คาดว่าน่าจะทันภายในปีนี้ รวมทั้งมีแผนออกกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้เช่นกัน
ด้านนางสาวยุพาวดี ตู้จินดา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า การขยายเวลาคุ้มครองเงินฝากออกไปจะไม่ส่งผลกระทบต่อการทำการตลาดของกองทุนรวม และเป้าหมายการเพิ่มสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (เอยูเอ็ม)
“ที่ผ่านมาเราเตรียมความพร้อมรองรับการลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากเหลือ 1 ล้านบาท โดยการออกกองทุนคุ้มครองเงินต้นเพื่อให้นักลงทุนรู้สึกปลอดภัย ซึ่งเราทำมาตลอด 1 ปีที่ผ่านมา แต่หากมีการขยายเวลาคุ้มครองเงินฝากไม่เกิน 50 ล้านบาทออกไป เราก็ยังเดินหน้าการออกกองทุนคุ้มครองเงินต้นต่อไป และคิดว่าคงจะไม่มีผลกระทบมากนัก” นส.ยุพาวดีกล่าว
สำหรับปัจจัยหลักที่จะทำให้นักลงทุนโยกเงินลงทุนกลับฝากธนาคาร คือการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในเร็วๆ นี้ธนาคารพาณิชย์จะยังไม่มีการแข่งขันด้านดอกเบี้ย เนื่องจากเศรษฐกิจไม่ได้ขยายตัวมากนัก ทำให้ธนาคารยังไม่จำเป็นต้องเร่งระดมเงินฝาก
นาวสาวยุพาวดี กล่าวว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี เอยูเอ็มของ บลจ.กสิกรไทยเพิ่มขึ้น 5.8 หมื่นล้านบาท หรือ 11% โดยเพิ่มจาก 5.31 แสนล้านบาท ในสิ้นปี 2554 มาอยู่ที่ 5.89 แสนล้านบาท โดยยังคงสามารถรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 25% เป็นอันดับ 1 ของอุตสาหกรรมไว้ได้
นายวศิน วัฒนวรกิจกุล กรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจกองทุนรวม บลจ.บัวหลวง คาดว่า การขยายเวลาคุ้มครองเงินฝากจะไม่กระทบต่อทิศทางการดำเนินธุรกิจของ บลจ.บัวหลวง เพราะไม่เชื่อว่าหากมีการลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากแล้วจะทำให้ผู้ฝากเงินโยกเงินมาลงทุนในกองทุนรวมทันที โดยบริษัทยังเดินหน้าเหมือนเดิมไม่ต้องปรับเป้าหมายอะไร รวมทั้งการทำการตลาดเหมือนเดิม
นายธีรนาถ รุจิเมธาภาส กรรมการผู้จัดการ บลจ.ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า การเลื่อนเวลาคุ้มครองเงินฝากออกไปไม่กระทบต่อการเติบโตของบริษัทแต่อย่างใด โดยในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) ของบริษัทเติบโตขึ้น 22,000 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 7,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 50% ทะลุเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ 20% โดยเป็นการเติบโตมาจากส่วนของกองทุนตราสารหนี้เป็นหลัก