บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิลเปิดขายกองทุนเปิดซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล เอ็นแฮนซ์ โน้ต 1Y อายุ 1 ปี ลงทุนใน Credit Linked Note ตราสารหนี้ และเงินฝาก ชูผลตอบแทน 3.80% เปิดขาย 28 มิ.ย.-2 ก.ค. 55
นายอนุสรณ์ บูรณกานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล จำกัด เสนอขายกองทุนเปิดซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล เอ็นแฮนซ์ โน้ต 1Y (CIMB-PRINCIPAL EN1Y) อายุโครงการประมาณ 1 ปี มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท ซึ่งมีนโยบายลงทุนใน Credit Linked Note (CLN) ตราสารหนี้ และเงินฝาก ส่วนที่ลงทุนในต่างประเทศจะทำการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน (Fully Hedging) โดยกองทุนจะลงทุนในตราสารหนี้ที่ลงทุนในต่างประเทศไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV กองทุน CIMB-PRINCIPAL EN1Y มีประมาณการผลตอบแทนที่ 3.80% ต่อปี (เทียบเท่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำก่อนเสียภาษีที่ 4.47 % ต่อปี) โดยเสนอขายครั้งแรกตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 2 กรกฎาคม 2555
สำหรับกองทุน CIMB-PRINCIPAL EN1Y ให้โอกาสรับผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากและตราสารหนี้ภาครัฐในประเทศ ด้วยการลงทุนระยะเวลาประมาณ 1 ปี โดยเฉพาะบุคคลธรรมดาที่ต้องการการลงทุนที่ผลตอบแทนไม่เสียภาษี ซึ่งกองทุนดังกล่าวยังป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน ผู้ที่สนใจสามารถลงทุนด้วยเงินขั้นต่ำเพียง 5,000 บาท
นายเจษฎา สุขทิศ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล กล่าวถึงภาพรวมการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศว่า ในช่วงเวลานี้การลงทุนในตราสารหนี้ที่ภูมิภาคเอเชีย และอเมริกายังคงมีความน่าสนใจ เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคเอเชียอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ขณะที่เศรษฐกิจของประเทศอเมริกาก็เริ่มฟื้นตัวดีขึ้น โดยในปัจจุบันทางบริษัทจัดการฯ ไม่เน้นการลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทยุโรป เนื่องจากยังคงมองเห็นปัญหาเรื่องหนี้สาธารณะ และความซบเซาทางเศรษฐกิจของยุโรปที่จะยังคงมีอยู่ต่อไป ทั้งนี้ กองทุน CIMB-Principal EN1Y จะเน้นลงทุนในตราสารที่ผู้ออกอยู่ในเอเชียและอเมริกา เช่น CIMB Berhad, Standard Chartered, Bank of America, Goldman Sachs เป็นต้น
สำหรับภาวะดอกเบี้ยของประเทศไทย นายเจษฎามองว่ามีความเป็นไปได้สูงที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะคงอยู่ที่ระดับ 3% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกโดยรวมยังคงได้รับผลกระทบจากปัญหาในยุโรป และแรงกดดันด้านเงินเฟ้อของไทยที่ปรับลดลงเนื่องจากการลดลงของราคาน้ำมันในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้น การขยายอายุการลงทุนตราสารหนี้ให้ยาวขึ้นบ้าง เช่น ระยะเวลา 1-3 ปี น่าจะเป็นการปรับพอร์ตที่เหมาะสมกับภาวะอัตราดอกเบี้ยของไทยในปัจจุบัน