คอลัมน์ Good Morning News วันที่ 17 พฤษภาคม 2555
โดย วรวรรณ ธาราภูมิ
และทีมจัดการกองทุน บลจ.บัวหลวง
เศรษฐกิจโลก
• ผลสำรวจความเห็นชาวกรีซระหว่างวันที่ 10-14 พฤษภาคมพบว่า พรรค SYRIZA ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายซ้ายหัวรุนแรงของกรีซที่มีนโยบายยกเลิกข้อตกลงในมาตรการช่วยเหลือทางการเงินที่กรีซทำไว้กับ EU และ IMF กำลังได้รับคะแนนนิยมมากขึ้น และจะกลายเป็นพรรคใหญ่ที่สุดในรัฐสภาหลังการเลือกตั้งในวันที่ 17 มิถุนายน
• กองทุนสนับสนุนด้านการธนาคารของกรีซ “Hellenic Financial Stability Fund (HFSF)” จะจัดสรรเงิน 1.8 หมื่นล้านยูโรภายในสัปดาห์หน้าให้ธนาคารขนาดใหญ่ที่สุด 4 แห่งของกรีซ เพื่อเป็นการเพิ่มทุนชั่วคราวก่อนจะกำหนดเงื่อนไขกรอบการเพิ่มทุนใหม่สำหรับภาคธนาคาร
• โรเบิร์ต โซลลิค ประธานธนาคารโลก กล่าวว่า การตัดสินใจของกรีซที่จะออกจากยูโรโซน จะทำให้เกิดคำถามสำคัญเกี่ยวกับผลกระทบต่อสเปน อิตาลี และประเทศอื่นๆ ในยูโรโซนที่มีภาระหนี้จำนวนมาก ซึ่งกำลังทำการปฏิรูปทางโครงสร้าง และผลกระทบต่อเนื่องอาจจะสร้างความเสียหายอย่างมากซึ่งจะเหมือนกับเหตุการณ์การล้มละลายของเลห์แมน บราเธอร์สในปี 2008
• ชาร์ลส์ ดัลลารา ประธานสถาบันการเงินระหว่างประเทศ (IIF) กล่าวว่า ถ้าหากกรีซถอนตัวออกจากยูโรโซน ความเสียหายต่อยุโรปจะอยู่ในระดับระหว่างเหตุการณ์หายนะกับวันสิ้นโลก ซึ่งขณะนี้ประชาชนจำนวนมากยิ่งขึ้นกำลังโยกเงินฝากออกจากกรีซ แต่สถานการณ์อาจกลับสู่เสถียรภาพเมื่อกรีซจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ และรัฐบาลใหม่ยืนยันความตั้งใจที่จะอยู่ในยูโรโซนต่อไป
• สเปนระดมทุนได้ตามเป้าหมายสูงสุดที่วางไว้ 2.5 พันล้านยูโร (3.19 พันล้านดอลลาร์) จากการประมูลขายพันธบัตรระยะกลาง 3 ชุด แต่อัตราผลตอบแทนปรับตัวสูงขึ้นมากจากการประมูลครั้งก่อน
โดยพันธบัตรที่ครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนมกราคม 2558 ต้องให้อัตราผลตอบแทนสูงถึง 4.375% เพิ่มขึ้นจากระดับ 2.890% พันธบัตรที่ครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนกรกฎาคม 2558 ต้องให้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ย 4.876% เพิ่มขึ้นจาก 4.037% และพันธบัตรที่ครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนเมษายน 2559 ต้องให้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยสูงขึ้นถึง 5.106% เทียบกับระดับเดิม 3.374%
• เดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กล่าวว่า อังกฤษจะไม่เปลี่ยนแปลงนโยบายรัด เข็มขัด พร้อมกับเตือนประเทศสมาชิกยูโรโซนว่า ความล้มเหลวที่จะแก้ปัญหานั้นก่อให้เกิดความเสี่ยงอย่างใหญ่หลวงแก่ทุกประเทศ
เรียลตีแทรก อิงก์ บริษัทวิจัยชื่อดังด้านอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า บ้านที่ถูกยึดเนื่องจากการบังคับจำนองในเดือนเมษายนมีอยู่ 188,780 หลัง นับเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2550 โดยลดลง 5% จากเดือนมีนาคม และลดลง 14% จากปีก่อน ...การลดลงดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการฟื้นตัวของตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐฯ
เศรษฐกิจเอเชีย
• เศรษฐกิจญี่ปุ่นขยายตัว 1.0% ในไตรมาสแรกปีนี้ มากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 0.9% ซึ่งได้ฟื้นตัวขึ้นจากภาวะชะลอตัวในช่วงปลายปีที่แล้ว โดยมีอัตราการเติบโตสูงกว่าประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำอื่นๆ อันเป็นผลจากการฟื้นฟูบูรณะพื้นที่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ซึ่งได้รับผลกระทบจากคลื่นยักษ์สึนามิ การใช้จ่ายที่แข็งแกร่งของภาคเอกชน และการปรับตัวดีขึ้นของภาคการส่งออก
• สถาบันสังคมศาสตร์จีน (CASS) กล่าวว่า เศรษฐกิจจีนปีนี้มีแนวโน้มว่าจะขยายตัวในอัตรา 8.7% ซึ่งลดลง 0.5% จากปีก่อนหน้า โดยพิจารณาจากปัจจัยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ซบเซา ความไม่แน่นอนในวิกฤตหนี้สาธารณะยุโรป และการขยายตัวของการลงทุนในประเทศที่ชะลอลง
การปรับลดคาดการณ์ดังกล่าวไม่ถือว่าต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับการคาดการณ์ของสถาบันอื่นๆ
• นีลเส็น บริษัทวิจัยตลาดระหว่างประเทศรายงานว่า ความเชื่อมั่นผู้บริโภคจีนในช่วงไตรมาสแรกขยายตัวสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2548 โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการที่รัฐบาลพยายามช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมด้วยสินเชื่อจากธนาคาร รวมถึงกระตุ้นการบริโภคในประเทศ และบรรเทาความร้อนแรงของตลาดอสังหาริมทรัพย์
• ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมของไทยในเดือนเมษายนปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้ามาอยู่ที่ 104 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 และเป็นการปรับขึ้นเกินระดับ 100 ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 สะท้อนถึงภาคการผลิตของไทยที่น่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว
Equity Market
• SET Index ปิดที่ 1,173.56 จุด เพิ่มขึ้น 2.33 จุด หรือ 0.2% มูลค่าซื้อขาย 26,854 ล้านบาท โดยดัชนีหุ้นไทยปิดบวกเล็กน้อย หลังแกว่งตัวบวกลบในกรอบแคบตลอดทั้งวันจากปัจจัยภายนอกที่ยังไม่มีความชัดเจน โดยเฉพาะกรณีปัญหาของกรีซ เมื่อหุ้นขึ้นมานักลงทุนจึงขายลดความเสี่ยงออกมาตลอด
Fixed Income Market
• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยทรงตัวทุกช่วงอายุคงเหลือ โดยอายุคงเหลือ 3 เดือนมีอัตราผลตอบแทนที่ 3.04% และอายุคงเหลือ 5 ปีมีอัตราผลตอบแทนที่ 3.56% ไม่เปลี่ยนแปลงจากวันก่อนหน้า ส่วนวันศุกร์จะมีการประมูลพันธบัตร ธปท. อายุ 14 วัน วงเงิน 70,000 ล้านบาท
Gold Corner
• สภาทองคำโลก (WGC) เปิดเผยว่า ความต้องการทองคำทั่วโลกในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ลดลง 5% เทียบกับปีก่อน โดยภาวะอ่อนแรงในตลาดทองอินเดียเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ความต้องการทองลดลง ขณะที่อุปสงค์ในภาคธุรกิจเครื่องประดับและภาคการลงทุนต่างก็ได้รับผลกระทบหลังการประกาศอัตราภาษีใหม่ ท่ามกลางสถานการณ์เงินรูปีที่อ่อนค่าและผันผวน ซึ่งทำให้ราคาทองสกุลดอลลาร์มีราคาแพงขึ้นสำหรับผู้ซื้อชาวอินเดีย
