กองทุนวายุภักษ์ถือหุ้น ปตท เต็มเพดาน 80% แล้ว "เอ็มเอฟซี" เผย หากจะลงทุนเพิ่ม ต้องขออนุญาต ก.ล.ต. ขยายกรอบลงทุนมากกว่า 80% ด้านการบินไทย ไร้ปัญหา สัดส่วนยังเหลือเยอะ ด้านอดีตผู้บริหารกองทุนระบุ ขอต่ออายุโครงการได้ แต่ต้องเปิดทางให้ผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมเลือกที่จะถือลงทุนต่อหรือขายหน่วยลงทุนออก
นางสาวประภา ปูรณโชติ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการกองทุนรวมวายุภักษ์ 1 เปิดเผยว่า ขณะนี้กองทุนวายุภักษ์มีสัดส่วนการถือหุ้น บริษัท ปตท จำกัด (มหาชน) แล้วถึง 80% เพิ่มขึ้นจากสัดส่วนการลงทุนเดิม 50% โดยการเพิ่มขึ้นดังกล่าว เป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นมาตามมูลค่าหุ้นที่กองทุนลงทุนไปเมื่อจัดตั้งกองทุนช่วงแรก
ทั้งนี้ จากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าหุ้นดังกล่าว ทำให้กองทุนต้องขออนุญาตเพิ่มสัดส่วนการลงทุนดังกล่าวกับทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็น 80% เนื่องจากนโยบายการลงทุนเดิมที่กำหนดเพดานลงทุนได้ไม่เกิน 50% เท่านั้น
ดังนั้น หากกองทุนภายุภักษ์จะเข้าไปซื้อหุ้น บริษัท ปตท ตามนโยบายของกระทรวงการคลัง จะต้องขออนุญาตกับทางสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อขอเพิ่มเพดานการลงทุนจาก 80% ก่อน จึงจะสามารถลงทุนได้ เพราะปัจจุบันเพดานการลงทุนลิมิตไว้เพียง 80% เท่านั้น
"ตอนนี้กองทุนวายุภักษืถือหุ้นปตท อยู่ 80% ซึ่งหากกองทุนจะเข้าไปถือหุ้นปตท เพิ่ม จะต้องขอเพิ่มเพดานการลงทุนกับ ก.ล.ต. อีกครั้ง"นางสาวประภากล่าว
ในส่วนของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นหนึ่งในรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังจะให้กองทุนเข้าไปซื้อหุ้นนั้น ไม่น่าจะมีปัญหา เนื่องจากปัจจุบัน กองทุนวายุภักษ์ถือหุ้นการบินไทยอยู่เพียง 5% เท่านั้น จึงสามารถลงทุนได้ในสัดส่วนที่ค่อนข้างมาก
นางสาวประภากล่าวว่า สำหรับแผนการซื้อหุ้นทั้งสองบริษัทดังกล่าว ในขณะนี้ทางกระทรวงการคลังเองยังไม่ได้หารือแต่อย่างใด ซึ่งเราเองในฐานะผู้จัดการกองทุนก็มีเป้าหมายในการบริหารกองทุนเพื่อตอบสนองผู้ถือหน่วยในแง่ผลตอบแทน ซึ่งหุ้นทั้งสองบริษัทเองก็มีพื้นฐานดีสามารถลงทุนได้ อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วแนวทางจะเป็นอย่างไรนั้น คงต้องดูความเหมาะสมกับผู้ถือหน่วยรวมถึงไม่กระทบต่อตลาดทุนและกระทรวงการคลังต้องเห็นชอบด้วย
ด้านนายพิชิต อัครทิตย์ อดีตกรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซี ซึ่งเคยบริหารจัดการกองทุนรวมวายุภักษ์ 1 กล่าวว่า หากกองทุนวายุภักษ์ครบอายุ 10 ปี บริษัทจัดการอาจพิจารณาขอขยายอายุโครงการได้เนื่องจากระบุอยู่ในหนังสือชี้ชวนอยู่แล้ว แต่จะต้องได้รับมติโดยเสียงข้างมากของผู้ถือหน่วยลงทุน
นอกจากนี้ กองทุนจะต้องเปิดทางให้ผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมเลือกที่จะถือลงทุนต่อหรือขายหน่วยลงทุนออก เนื่องจากว่าเมื่อมีการแก้ไขโครงการอาจทำให้เงื่อนไขเปลี่ยนไปจากเดิมที่มีการค้ำประกันผลตอบแทนปีละ 3% ทำให้ผู้มีเงินออมจึงเป็นผู้ลงทุนจำนวนมากในกองทุนวายุภักษ์
นายพิชิต กล่าวว่า กรณีที่กองทุนไม่ขยายโครงการและปิดกองตามกำหนด หุ้นที่กองทุนวายุภักษ์ซื้อมาจากกระทรวงการคลังนั้นจะต้องขายคืนให้กระทรวงการคลังราคาต้นทุนที่ซื้อมา บวกกับอัตราดอกเบี้ย 6% ต่อปี
“ยกตัวอย่างหุ้นปตท.ตอนที่ซื้อมาต้นทุนต่ำมากและปัจจุบันราคาขึ้นมาสูง คลังคงซื้อกลับคืน หากไม่ซื้อคงเกิดคำถามได้”นายพิชิต กล่าว
นางสาวประภา ปูรณโชติ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการกองทุนรวมวายุภักษ์ 1 เปิดเผยว่า ขณะนี้กองทุนวายุภักษ์มีสัดส่วนการถือหุ้น บริษัท ปตท จำกัด (มหาชน) แล้วถึง 80% เพิ่มขึ้นจากสัดส่วนการลงทุนเดิม 50% โดยการเพิ่มขึ้นดังกล่าว เป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นมาตามมูลค่าหุ้นที่กองทุนลงทุนไปเมื่อจัดตั้งกองทุนช่วงแรก
ทั้งนี้ จากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าหุ้นดังกล่าว ทำให้กองทุนต้องขออนุญาตเพิ่มสัดส่วนการลงทุนดังกล่าวกับทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็น 80% เนื่องจากนโยบายการลงทุนเดิมที่กำหนดเพดานลงทุนได้ไม่เกิน 50% เท่านั้น
ดังนั้น หากกองทุนภายุภักษ์จะเข้าไปซื้อหุ้น บริษัท ปตท ตามนโยบายของกระทรวงการคลัง จะต้องขออนุญาตกับทางสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อขอเพิ่มเพดานการลงทุนจาก 80% ก่อน จึงจะสามารถลงทุนได้ เพราะปัจจุบันเพดานการลงทุนลิมิตไว้เพียง 80% เท่านั้น
"ตอนนี้กองทุนวายุภักษืถือหุ้นปตท อยู่ 80% ซึ่งหากกองทุนจะเข้าไปถือหุ้นปตท เพิ่ม จะต้องขอเพิ่มเพดานการลงทุนกับ ก.ล.ต. อีกครั้ง"นางสาวประภากล่าว
ในส่วนของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นหนึ่งในรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังจะให้กองทุนเข้าไปซื้อหุ้นนั้น ไม่น่าจะมีปัญหา เนื่องจากปัจจุบัน กองทุนวายุภักษ์ถือหุ้นการบินไทยอยู่เพียง 5% เท่านั้น จึงสามารถลงทุนได้ในสัดส่วนที่ค่อนข้างมาก
นางสาวประภากล่าวว่า สำหรับแผนการซื้อหุ้นทั้งสองบริษัทดังกล่าว ในขณะนี้ทางกระทรวงการคลังเองยังไม่ได้หารือแต่อย่างใด ซึ่งเราเองในฐานะผู้จัดการกองทุนก็มีเป้าหมายในการบริหารกองทุนเพื่อตอบสนองผู้ถือหน่วยในแง่ผลตอบแทน ซึ่งหุ้นทั้งสองบริษัทเองก็มีพื้นฐานดีสามารถลงทุนได้ อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วแนวทางจะเป็นอย่างไรนั้น คงต้องดูความเหมาะสมกับผู้ถือหน่วยรวมถึงไม่กระทบต่อตลาดทุนและกระทรวงการคลังต้องเห็นชอบด้วย
ด้านนายพิชิต อัครทิตย์ อดีตกรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซี ซึ่งเคยบริหารจัดการกองทุนรวมวายุภักษ์ 1 กล่าวว่า หากกองทุนวายุภักษ์ครบอายุ 10 ปี บริษัทจัดการอาจพิจารณาขอขยายอายุโครงการได้เนื่องจากระบุอยู่ในหนังสือชี้ชวนอยู่แล้ว แต่จะต้องได้รับมติโดยเสียงข้างมากของผู้ถือหน่วยลงทุน
นอกจากนี้ กองทุนจะต้องเปิดทางให้ผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมเลือกที่จะถือลงทุนต่อหรือขายหน่วยลงทุนออก เนื่องจากว่าเมื่อมีการแก้ไขโครงการอาจทำให้เงื่อนไขเปลี่ยนไปจากเดิมที่มีการค้ำประกันผลตอบแทนปีละ 3% ทำให้ผู้มีเงินออมจึงเป็นผู้ลงทุนจำนวนมากในกองทุนวายุภักษ์
นายพิชิต กล่าวว่า กรณีที่กองทุนไม่ขยายโครงการและปิดกองตามกำหนด หุ้นที่กองทุนวายุภักษ์ซื้อมาจากกระทรวงการคลังนั้นจะต้องขายคืนให้กระทรวงการคลังราคาต้นทุนที่ซื้อมา บวกกับอัตราดอกเบี้ย 6% ต่อปี
“ยกตัวอย่างหุ้นปตท.ตอนที่ซื้อมาต้นทุนต่ำมากและปัจจุบันราคาขึ้นมาสูง คลังคงซื้อกลับคืน หากไม่ซื้อคงเกิดคำถามได้”นายพิชิต กล่าว