โดยวรวรรณ ธาราภูมิ
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
บลจ.บัวหลวง
บทวิเคราะห์ Gloom, Boom and Doom (ความหมดหวัง ความเจริญรุ่งเรือง และความหายนะ) ของ ลุงมาร์ค ฟาเบอร์ เจ้าของฉายา Dr.Doom ล่าสุดนี้ ลุงมาร์ค เล่าเรื่องของ Marion Szablicki ผู้เป็นปู่ของลุงมาร์ค และเราจะเรียกท่านว่า “ปู่มาคิยง” ซึ่งหากเป็นคนจีนเราก็คงจะเรียกท่านว่า ย้งเล่ากง
ลุงมาร์ค เล่าว่า การเรียนรู้เกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ของลุงเนี่ยะเริ่มตั้งแต่ลุงยังเป็นลูกเจี๊ยบ และครูคนแรกก็คือ ย้งเล่ากง นี่เอง
น่าสนใจจริงๆ เพราะปู่มาคิยง หรือ ย้งเล่ากง สอนลุงมาร์ค เรื่อง “คุณค่าของทองคำ” เป็นเรื่องหลักเลยละ
ทำให้นึกไปถึงคุณทวดของเราเองที่บ้านอยุธยา เพราะตอนเรายังเป็นลูกเจี๊ยบ คุณทวดจะจับไปนั่งตัก ปั้นข้าวสุกร้อนๆ เป็นคำเล็กๆ ใส่ปาก แล้วตามด้วยเกลือเม็ดเล็กๆ ให้แทะ ในระหว่างนั้น คุณทวดก็จะเล่าเรื่องพระพุทธเจ้าหลวง (รัชกาลที่ ๕) เล่าเรื่องชาดกเก่าๆ แบบสุวรรณสาม ยอพระกลิ่น เล่าเรื่องประวัติบรรพบุรุษ และเรื่องการรู้จักหากับวิธีเก็บรักษาเงินโดยสั่งสอนให้สะสมเป็นทองคำไว้เผื่อเกิดสงคราม เพราะค่าเงินจะลดฮวบฮาบ แต่ค่าทองตรงกันข้าม
ใครที่เคยเหยียดหยาม ดูหมิ่น ว่าคนโบราณเป็นไดโนเสาร์เต่าล้านปี ก็จงคุกเข่า เอาหัวไปโขกพื้นแรงๆ พร้อมกับพูดว่า ผู้น้อยสมควรตายๆๆๆ ได้แล้ว
ลุงมาร์ค บอกว่า ในช่วงบั้นปลายชีวิตของปู่มาคิยง ปู่รู้สึกว่าโลกนี้มีหนี้มากไป และเราทุกคนกำลังเดินไปสู่อนาคตที่มืดมนยากลำบากเหมือนกับที่ปู่เคยผ่านมาในยุคที่มีแต่เงินกระดาษอันไร้ค่า มีสงครามทั่วทุกที่ ในขณะที่ทองคำเป็นสิ่งที่มีค่ามาก
ปู่มาคิยง บอก ลุงมาร์ค ว่า “ผู้อยู่รอดมาได้ควรเตือนคนรุ่นหลังว่า “ใครก็ตามที่ละเลยบทเรียนที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ ก็เชิญทำไปตามลำบากด้วยความเสี่ยงของเขาเอง”
ปู่ของลุงมาร์คเล่าเรื่องรัสเซียบุกเข้ายึดโปแลนด์ในวันที่ 17 กันยายน 1939 และภายใน 1 ปีหลังจากนั้น คนโปลิชหากไม่ถูกจับส่งไปทำงานหนักที่แคมป์แรงงาน ก็จะถูกจับส่งไปตายหยังเขียดที่คาซัคสถานกับไซบีเรีย
อืม ... ล้างเผ่าพันธุ์ของแท้เลยละ หากจะพูดว่าอาชญากรรมอย่างเดียวในสมัยนั้นคือการเกิดมาเป็นโปลิช ก็ไม่ผิดหรอก ซึ่งเป็นเพราะชาวโปลิช เป็นนักรบที่เกรียงไกร กล้าหาญ จนขึ้นชื่อมาก ทำให้รัสเซีย ต้องการกำจัดให้กำลังอ่อนแอลง จึงได้ประหารชีวิต หรือส่งไปตายนอกประเทศโปแลนด์
และเมื่อสงครามโลกสิ้นสุดลง รัสเซียก็ไม่เคยคืนบ้าน ที่ดิน ให้คนโปแลนด์เลย แถมในปี 1943 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง โปแลนด์ตะวันออกก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียอยู่ดี
ในช่วงสงคราม ค่าของเงินกระดาษอ่อนแอและเปราะบางมาก ยิ่งประเทศใดแพ้สงคราม ค่าเงินของประเทศนั้นก็ไม่เหลือ ซึ่งลุงมาร์คเล่าว่ามันเกิดขึ้นกับปู่มาคิยงหรือย้งเล่ากงผู้อาศัยอยู่ทางโปแลนด์ตะวันออกในปี 1939
ปู่มาคิยง เล่าให้ลุงมาร์คฟังว่า ......
“ในวันที่ 18 กันยายน 1939 (1 วันหลังรัสเซียยึดโปแลนด์) ปู่ได้รู้ว่าข่าวลือที่รัสเซียจะเข้ายึดโปแลนด์ตะวันออกเป็นเรื่องจริง ทั้งที่ก่อนหน้านั้น 3 สัปดาห์เราเพิ่งถูกเยอรมันนีเข้าตี ทวดโดนเกณฑ์เข้ากองทัพเพื่อไปต่อสู้ป้องกันประเทศตั้งแต่เยอรมันนีเข้าบุก แต่เมื่อรัสเซียเข้ายึดได้หลังจากนั้น เขาก็บอกพวกเราทั้งหมดที่โดนเกณฑ์ทหารไปรบกับพวกเยอรมันให้กลับบ้าน ปู่มีเมียกับลูกสาว 3 ขวบที่ต้องไปปกป้อง จึงรีบเดินเท้า 40 กิโลวันเดียวรวด เพื่อกลับหมู่บ้านที่โปแลนด์ตะวันออกทันที ด้วยความเป็นห่วงลูกเมีย”
“บ้านเราอยู่ใกล้ชายแดนรัสเซียซึ่งพวกมันจะเข้ามาถึงได้ในเวลาไม่นานเลย แม้ว่าปู่จะเป็นแค่คนใช้แรงงานแต่เมียของปู่มีฐานะดีกว่า เราจึงมีทองคำกับเพชรนิลจินดาของครอบครัวเธอไม่น้อย ปู่รีบขุดหลุมเอามันไปซ่อนไว้ให้ปลอดภัย เพราะปู่รู้ว่าเงินสกุล Zloty ของเราจะพังทลาย และทองคำจะเป็นสิ่งเดียวที่เป็นเงินตราได้ ซึ่งต้องเก็บไว้ใช้เพื่อดำรงชีวิตครอบครัวของเรา นี่ก็เพราะปู่จำได้ไม่ลืมเลยว่าในตอนเด็กๆ โปแลนด์เคยเจอภาวะเงินเฟ้อรุนแรงมาแล้วในปี 1923 แล้วตามมาติดๆ ด้วยภาวะเงินเฟ้อแบบ Hyperinflation ที่ประเทศเยอรมันนี ซึ่งทำให้พ่อกับพี่น้องของปู่และปู่เองต้องซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ากับอาหารด้วยสินค้าอื่นหรือทองคำเพราะเงินกระดาษไม่มีค่าเลย คนขายไม่ยอมรับ ทองคำได้รับการยอมรับมากที่สุดเพราะมีค่าสูงและพกพาไปแลกเปลี่ยนสินค้าได้ง่าย พ่อของปู่เคยเล่าเรื่องคล้ายๆ กันที่เคยมีประสบการณ์สมัยก่อนปฏิวัติฝรั่งเศสที่เกิดเงินเฟ้อรุนแรง ก็ได้พ่อของปู่นี่หละ ที่สอนว่า ทองคำเป็นเงินตราเพียงสกุลเดียวที่ไม่มีเส้นแบ่งของประเทศ”
“แล้วกองทัพรัสเซียก็เข้ามาถึงหมู่บ้านเราใน 2 วันหลังจากนั้น มันก็โชคดีจริงๆ ที่ปู่เกิดในไซบีเรียตะวันออก และเคยเป็นนักมวยในรัสเซียมาหลายปี เพราะมันทำให้ปู่พูดภาษารัสเซียได้สบายๆ และปู่จำได้ไม่ลืมเลยว่าในช่วงปฏิวัติรัสเซียก่อนหน้านั้น ใครที่ไม่ใช่พวกมันหรือดูมีการศึกษา มีชาติตะกูลที่ดีกว่า (คงจะแบบอำมาตย์บ้านเรา) จะตกอยู่ในอันตรายจากผู้ร่วมปฎิวัติรัสเซียที่โกรธแค้น ชิงชัง ขนาดไหน”
“ปู่จึงสื่อสารกับทหารรัสเซียหลายคนเพื่อหาทางออกให้กับชะตากรรมของพวกเรา แล้ว 2 สัปดาห์ถัดมา พ่อตาของปู่ซึ่งเพิ่งเกษียณจากการเป็นทหารโปแลนด์ก็ถูกจับไป เราไม่ได้พบท่านอีกแล้ว และคาดเดาได้ว่าท่านคงถูกพวกรัสเซียประหารชีวิตไปพร้อมๆ กับข้าราชการชาวโปแลนด์อีกหลายพันคน ปู่ต้องรีบให้แม่ยายอพยพออกไปทันที แล้วเราก็ไม่ได้พบท่านอีกเลย”
“ฤดูหนาวมาถึงพร้อมกับความหนาวเย็นที่สุดและการขาดแคลนอาหารกับสินค้าต่างๆ ที่จำเป็นในชีวิต มันมาพร้อมกับข่าวว่าพวกรัสเซียจะจับคนโปลิชไปโยนทิ้งนอกแผ่นดินของเรา ในเดือนกุมภาพันธุ์ 1940 ชาวโปแลนด์ที่เป็นตำรวจ เจ้าของที่ดิน และผู้มีการศึกษามากมาย พร้อมญาติๆ โดนจับตัวไปทิ้งนอกประเทศในดินแดนที่ยากลำบาก แล้วเรื่องนี้ก็มาถึงบ้านเราในกลางดึกที่มีทหารรัสเซีย 4 นายพร้อมอาวุธสงคราม มาเคาะประตูบ้านปู่ ปู่ต้อนรับพวกเขาอย่างสุภาพด้วยภาษารัสเซีย แต่พวกเขาก็สั่งให้ปู่ใส่เสื้อโค้ทและตามพวกเขาไป ปู่ก็ทำตามโดยดี และโดนซักฟอกด้วยคำถามมากมาย”
“โชคดีจริงๆ ที่ 1 ในทหาร 4 คนที่มาเอาตัวปู่ไปนั้น เป็นคนที่ปู่วิสาสะด้วยหลายครั้งในหลายๆ เดือนที่ผ่านมา ปู่จึงไม่โดนฆ่า และได้รับคำตัดสินว่า เนื่องจากปู่เกิดในไซบีเรีย พูดรัสเซีย และเป็นคนไม่มีการศึกษาเหมือนพวกเรา เขาจึงปล่อยให้กลับไปบ้านก่อน แล้วทหารคนนั้นก็มาจับข้อศอกปู่แล้วกระซิบว่า กลับไปหาครอบครัวซะ มาคิยง เตรียมตัวให้ดีเพราะพวกคุณจะถูกส่งไปไซบีเรียในวันหลัง”
อ่านต่อในฉบับวันพุธที่ 28 ธันวาคม 2554 และสามารถติดตามบทความดังกล่าวได้ใน www.manager.co.th
หมายเหตุ : Victoria Szablicki ภริยาของ มาคิยง เสียชีวิตในวันที่ 5 มิถุนายน 2011 หลังจากนั้น 11 วัน ปู่มาคิยง ของลุงมาร์ค ฟาเบอร์ ก็เสียชีวิตตามไปในวัย 100 ปี หลังจากได้รับเหรียญกล้าหาญอันสุดท้ายที่ทรงเกียรติยิ่งจากรัฐบาลโปแลนด์ คือ Siberian Cross ไปในวัย 98 ปี เขาทั้งสองคนมีชีวิตสมรสร่วมกันยาวนานถึง 76 ปี