บลจ. ทหารไทย แนะ ลงทุนตราสารหนี้อายุไม่ต่ำกว่า 3 เดือน ให้ผลตอบแทนดี หลัง กนง. คงอัตราดอกเบี้ย ไว้ที่ 3.50% เหตุน้ำท่วมรุนแแรง คาด จีดีพี ปีนี้ลด 1-2%
นายไพศาล ครุฑดำรงชัย รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทหารไทย จำกัด กล่าวว่า จากการที่ กนง. คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 3.50% นั้น เนื่องจากสถานการณ์ในเรื่องน้ำท่วมรุนแรงที่เกิดขึ้นขณะนี้ และสถานการณ์หนี้วิกฤตหนี้ในยุโรป ซึ่งคาดว่า จีดีพี ในปีนี้น่าจะลดลง 1-2% ส่งผลให้ กนง.จึงคงอัตราดอกเบี้ยเอาไว้ ทั้งนี้กองทุนมันนี่มาร์เก็ตในช่วงนี้ผลตอบแทนก็จะได้ใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบัน ขณะที่กองทุนตราสารหนี้ประเภทเทอมฟันด์ก็จะได้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันเช่นเดียวกัน ดังนั้นหากอัตราดอกเบี้ยไม่เพิ่มขึ้น จึงแนะนำลูกค้าว่าอาจจะเลือกลงทุนในตราสารหนี้ที่อายุมากกว่า 3 เดือน เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
ทั้งนี้ บลจ. ทหารไทย อยู่ในระหว่างเปิดขายกองทุน กองทุนเปิดทหารไทยพันธบัตร 3 เดือน (รุ่นที่ 1) 6เดือน (รุ่นที่ 4) และ 1 ปี (รุ่นที่ 10) ซึ่งเป็นกองทุนโรลโอเวอร์ เปิดขายตั้งแต่วันที่ 17-25 ตุลาคม 2554 โดยตราสารที่บริษัทเลือกลงทุนนั้น แบ่งเป็น ตั๋วเงินคลัง หรือพันธบัตรธนคารแห่งประเทศไทย อายุ 3 เดือน (รุ่นที่3) มูลค่ากองทุน 10,000 ล้านบาท ซึ่งมีผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 3.25% ต่อปี ขณะที่ ตั๋วเงินคลัง หรือพันธบัตรธนคารแห่งประเทศไทย อายุ 6 เดือน (รุ่นที่4) มูลค่า 5,000 ล้านบาท มีผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 3.28% ต่อปี และ ตั๋วเงินคลัง หรือพันธบัตรธนคารแห่งประเทศไทย อายุ 1 ปี (รุ่นที่10) มูลค่า 2,000 ล้านบาท มีผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 3.30% ต่อปี
โดยกองทุนเปิดทหารไทยพันธบัตร 3 เดือน (รุ่น 1) 6 เดือน (รุ่นที่ 4) และ 1 ปี (รุ่นที่ 10)นั้น มีนโยบายการลงทุน เหมือนกันคือ เน้นลงทุนในตราสารตลาดเงินภาครัฐ ในตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย หรือพันธบัตรหรือตราสารแห่งหนี้ที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเป็นผู้ออก ผู้รับรอง ผู้รับอาวัล หรือผู้ค้ำประกัน หรือพันธบัตรหรือตราสารแห่งหนี้ที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ออก ผู้รับอาวัล หรือผู้ค้ำประกัน ขณะที่ เงินส่วนที่เหลือกองทุนจะลงทุนในเงินฝากหรือตั๋วสัญญาใช้เงินหรือบัตรเงินฝากที่ออกโดยสถาบันการเงินหรือธนาคารที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น ซึ่งจะลงทุนในตราสารหรือเงินฝากที่มีอายุคงเหลือสูงสุดประมาณ 3 เดือนนับแต่วันที่ลงทุน
สำหรับผลการประชุม กนง. เมื่อวันพุธที่ผ่านมา มีมติคงอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันที่ระดับ 3.5% ตามคาดการณ์ของตลาดและฝ่ายวิจัย หลัง ธปท.ประกาศขึ้นดอกเบี้ยถึง 9 ครั้ง รวม 2.25% นับตั้งแต่เดือน ก.ค.2552 ที่ผ่านมา โดย ธปท.ระบุถึงความเสี่ยงด้านการขยายตัวของเศรษฐกิจ หลังปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรปยังยืดเยื้อและมีแนวโน้มลุกลามไปยังภาคสถาบันการเงิน ขณะที่ภาวะน้ำท่วมครั้งร้ายแรง ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในหลายพื้นที่ต้องหยุดชะงัก ทำให้เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4 มีแนวโน้มเติบโตต่ำกว่าคาด สะท้อนว่าทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของ ธปท.ในอนาคตมีแนวโน้มเอนเอียงไปทางด้านผ่อนคลายมากขึ้น (Easing Bias)
นายไพศาล ครุฑดำรงชัย รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทหารไทย จำกัด กล่าวว่า จากการที่ กนง. คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 3.50% นั้น เนื่องจากสถานการณ์ในเรื่องน้ำท่วมรุนแรงที่เกิดขึ้นขณะนี้ และสถานการณ์หนี้วิกฤตหนี้ในยุโรป ซึ่งคาดว่า จีดีพี ในปีนี้น่าจะลดลง 1-2% ส่งผลให้ กนง.จึงคงอัตราดอกเบี้ยเอาไว้ ทั้งนี้กองทุนมันนี่มาร์เก็ตในช่วงนี้ผลตอบแทนก็จะได้ใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบัน ขณะที่กองทุนตราสารหนี้ประเภทเทอมฟันด์ก็จะได้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันเช่นเดียวกัน ดังนั้นหากอัตราดอกเบี้ยไม่เพิ่มขึ้น จึงแนะนำลูกค้าว่าอาจจะเลือกลงทุนในตราสารหนี้ที่อายุมากกว่า 3 เดือน เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
ทั้งนี้ บลจ. ทหารไทย อยู่ในระหว่างเปิดขายกองทุน กองทุนเปิดทหารไทยพันธบัตร 3 เดือน (รุ่นที่ 1) 6เดือน (รุ่นที่ 4) และ 1 ปี (รุ่นที่ 10) ซึ่งเป็นกองทุนโรลโอเวอร์ เปิดขายตั้งแต่วันที่ 17-25 ตุลาคม 2554 โดยตราสารที่บริษัทเลือกลงทุนนั้น แบ่งเป็น ตั๋วเงินคลัง หรือพันธบัตรธนคารแห่งประเทศไทย อายุ 3 เดือน (รุ่นที่3) มูลค่ากองทุน 10,000 ล้านบาท ซึ่งมีผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 3.25% ต่อปี ขณะที่ ตั๋วเงินคลัง หรือพันธบัตรธนคารแห่งประเทศไทย อายุ 6 เดือน (รุ่นที่4) มูลค่า 5,000 ล้านบาท มีผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 3.28% ต่อปี และ ตั๋วเงินคลัง หรือพันธบัตรธนคารแห่งประเทศไทย อายุ 1 ปี (รุ่นที่10) มูลค่า 2,000 ล้านบาท มีผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 3.30% ต่อปี
โดยกองทุนเปิดทหารไทยพันธบัตร 3 เดือน (รุ่น 1) 6 เดือน (รุ่นที่ 4) และ 1 ปี (รุ่นที่ 10)นั้น มีนโยบายการลงทุน เหมือนกันคือ เน้นลงทุนในตราสารตลาดเงินภาครัฐ ในตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย หรือพันธบัตรหรือตราสารแห่งหนี้ที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเป็นผู้ออก ผู้รับรอง ผู้รับอาวัล หรือผู้ค้ำประกัน หรือพันธบัตรหรือตราสารแห่งหนี้ที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ออก ผู้รับอาวัล หรือผู้ค้ำประกัน ขณะที่ เงินส่วนที่เหลือกองทุนจะลงทุนในเงินฝากหรือตั๋วสัญญาใช้เงินหรือบัตรเงินฝากที่ออกโดยสถาบันการเงินหรือธนาคารที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น ซึ่งจะลงทุนในตราสารหรือเงินฝากที่มีอายุคงเหลือสูงสุดประมาณ 3 เดือนนับแต่วันที่ลงทุน
สำหรับผลการประชุม กนง. เมื่อวันพุธที่ผ่านมา มีมติคงอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันที่ระดับ 3.5% ตามคาดการณ์ของตลาดและฝ่ายวิจัย หลัง ธปท.ประกาศขึ้นดอกเบี้ยถึง 9 ครั้ง รวม 2.25% นับตั้งแต่เดือน ก.ค.2552 ที่ผ่านมา โดย ธปท.ระบุถึงความเสี่ยงด้านการขยายตัวของเศรษฐกิจ หลังปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรปยังยืดเยื้อและมีแนวโน้มลุกลามไปยังภาคสถาบันการเงิน ขณะที่ภาวะน้ำท่วมครั้งร้ายแรง ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในหลายพื้นที่ต้องหยุดชะงัก ทำให้เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4 มีแนวโน้มเติบโตต่ำกว่าคาด สะท้อนว่าทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของ ธปท.ในอนาคตมีแนวโน้มเอนเอียงไปทางด้านผ่อนคลายมากขึ้น (Easing Bias)
