เมืองไทยประกันชีวิต ย้ำน้ำท่วมประกันชีวิต-สุขภาพคุ้มครองเต็มที่ แต่ความเสียหายต้องประเมินหลังน้ำลด มั่นใจไม่กระทบยอดเบี้ยของบริษัทที่ตั้งเป้าไว้ แม้ภาพรวมธุรกิจ 8เดือนของคปภ.ยังไม่เข้าเป้า แต่มั่นใจช่วงเวลาของปียังสามารถปั๊มยอดได้ พร้อมปัดขึ้นเบี้ยหลังน้ำท่วมซ้ำซาก ระบุต้องดูสถิติและตารางมรณะเป็นหลัก
นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด เปิดเผยว่า ความเสียหายจากสถานการณ์น้ำท่วมขณะนี้บริษัทยังไม่สามารถประเมินได้ เนื่องจากจำเป็นที่จะต้องสถานการณ์คลี่คลายมากกว่านี้ก่อน แต่ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าอุทกภัยในปีนี้หนังกว่าในปีที่ผ่านมาเนื่องจากมีจังหวัดที่ประสบเหตุถึง 30 จังหวัดแต่ปีที่แล้วมีเพียง 10 จังหวัดเท่านั้นที่ได้รับึความเดิอดร้อน
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ดำเนินการช่วยเหลือผุ้ประสบอุทกภัยอย่างเต็มที่ โดยในส่วนของลูกค้าที่อยุ่ในพื้นที่ประสบภัยบริษัทได้ทำการยืดเวลาการชำระเบี้ยประกันภัยแบบปลอดอัตราดอกเบี้ยไปอีก 91 ตามการอนุมัติของคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.)นอกจากนี้ในส่วนของประชาชนทั่วไปบริษัทยังได้มีการจัดส่งถุงยังชีพประมาณ 1,000 ถุงเข้าไปยังพื้นจังหวัดอยุธยา และอ่างทองเพื่อให้การช่วยเหลือ
"ตอนนี้คงยังประเมินอะไรไม่ได้ คงจะต้องรีบให้การช่วยเหลือกันก่อน ซึ่งบริษัทมีลูกค้าอยู่ทั่วประเทศและในส่วนที่ประสบเหตุก็มีลูกค้าของเราอยู่ อย่างไรก็ตามความเสียหายต่อชีวิตในส่วนของประกันชีวิตให้ความคุ้มครองตามกรมธรรม์อยุ่แล้วไม่ต้องกังวล ส่วนการประกันกลุ่มหากมีการบาดเจ็บหรือเข้ารักษาพยาบาลก็สามารถเบิกจ่ายได้ตามปกติ และเป็นไปตามเงื่อนไขทุกประการ"นรายสาระกล่าว
นายสาระ กล่าวอีกว่า ในส่วนของผลกระทบต่อบริษัทขณะนี้ยอมรับว่ามีบางสาขาในพื้นที่ประสบภัยที่จะต้องปิดบริการ หรือย้ายพนักงานไปอยุ่สาขาที่ใกล้เคียงแทน ซึ่งจะเป็นเรื่องของการให้บริการเป็นส่วนใหญ่ ส่วนผลกระทบต่อการทำตลาดและขยายตัวของเบี้ยประกันในปีนี้คงไม่สงผลมากนัก เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาบริษัทมีการขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง
"เชื่อว่าถึงแม้จะมีเหตุน้ำท่วมแต่เบี้ยของเราคงจะทำได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ ซึ่งตัวเลขของคปภ.ที่ออกมา 8 เดือนก็เติบโตกว่า 13% และช่วงเวลาที่เหลืออีก 3 เดือนก็น่าจะได้ 15% ตามที่คปภ.ตั้งไว้"นายสาระกล่าว
ทั้งนี้ ในส่วนของการปรับเบี้ยประกันชีวิต นายสาระ กล่าวอีกว่า คงเป็นไปไม่ได้ในธุรกิจประกันชีวิต เพราะโดยหลักแล้วอัตราเบี้ยจะมีองค์ประกอบหลายส่วน แต่จะอิงกับอัตรามรณะเป็นหลักซึ่งจะต้องมีการเก็บสถิติเป็นเวลานาน โดยปัจจุบันแนวโน้มของประชากรไทยดูจะอายุยืนมากขึ้นมากกว่า
นอกจากนี้หากจะนำความเสี่ยงของภัยธรรมชาติเข้ามาคำนวณแล้วคิดอัตราเบี้ยตามพื้นที่ตามความเสี่ยงคงจะไม่เหมาะสมและคงเป็นไปได้ยาก
นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด เปิดเผยว่า ความเสียหายจากสถานการณ์น้ำท่วมขณะนี้บริษัทยังไม่สามารถประเมินได้ เนื่องจากจำเป็นที่จะต้องสถานการณ์คลี่คลายมากกว่านี้ก่อน แต่ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าอุทกภัยในปีนี้หนังกว่าในปีที่ผ่านมาเนื่องจากมีจังหวัดที่ประสบเหตุถึง 30 จังหวัดแต่ปีที่แล้วมีเพียง 10 จังหวัดเท่านั้นที่ได้รับึความเดิอดร้อน
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ดำเนินการช่วยเหลือผุ้ประสบอุทกภัยอย่างเต็มที่ โดยในส่วนของลูกค้าที่อยุ่ในพื้นที่ประสบภัยบริษัทได้ทำการยืดเวลาการชำระเบี้ยประกันภัยแบบปลอดอัตราดอกเบี้ยไปอีก 91 ตามการอนุมัติของคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.)นอกจากนี้ในส่วนของประชาชนทั่วไปบริษัทยังได้มีการจัดส่งถุงยังชีพประมาณ 1,000 ถุงเข้าไปยังพื้นจังหวัดอยุธยา และอ่างทองเพื่อให้การช่วยเหลือ
"ตอนนี้คงยังประเมินอะไรไม่ได้ คงจะต้องรีบให้การช่วยเหลือกันก่อน ซึ่งบริษัทมีลูกค้าอยู่ทั่วประเทศและในส่วนที่ประสบเหตุก็มีลูกค้าของเราอยู่ อย่างไรก็ตามความเสียหายต่อชีวิตในส่วนของประกันชีวิตให้ความคุ้มครองตามกรมธรรม์อยุ่แล้วไม่ต้องกังวล ส่วนการประกันกลุ่มหากมีการบาดเจ็บหรือเข้ารักษาพยาบาลก็สามารถเบิกจ่ายได้ตามปกติ และเป็นไปตามเงื่อนไขทุกประการ"นรายสาระกล่าว
นายสาระ กล่าวอีกว่า ในส่วนของผลกระทบต่อบริษัทขณะนี้ยอมรับว่ามีบางสาขาในพื้นที่ประสบภัยที่จะต้องปิดบริการ หรือย้ายพนักงานไปอยุ่สาขาที่ใกล้เคียงแทน ซึ่งจะเป็นเรื่องของการให้บริการเป็นส่วนใหญ่ ส่วนผลกระทบต่อการทำตลาดและขยายตัวของเบี้ยประกันในปีนี้คงไม่สงผลมากนัก เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาบริษัทมีการขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง
"เชื่อว่าถึงแม้จะมีเหตุน้ำท่วมแต่เบี้ยของเราคงจะทำได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ ซึ่งตัวเลขของคปภ.ที่ออกมา 8 เดือนก็เติบโตกว่า 13% และช่วงเวลาที่เหลืออีก 3 เดือนก็น่าจะได้ 15% ตามที่คปภ.ตั้งไว้"นายสาระกล่าว
ทั้งนี้ ในส่วนของการปรับเบี้ยประกันชีวิต นายสาระ กล่าวอีกว่า คงเป็นไปไม่ได้ในธุรกิจประกันชีวิต เพราะโดยหลักแล้วอัตราเบี้ยจะมีองค์ประกอบหลายส่วน แต่จะอิงกับอัตรามรณะเป็นหลักซึ่งจะต้องมีการเก็บสถิติเป็นเวลานาน โดยปัจจุบันแนวโน้มของประชากรไทยดูจะอายุยืนมากขึ้นมากกว่า
นอกจากนี้หากจะนำความเสี่ยงของภัยธรรมชาติเข้ามาคำนวณแล้วคิดอัตราเบี้ยตามพื้นที่ตามความเสี่ยงคงจะไม่เหมาะสมและคงเป็นไปได้ยาก