คาดยอดเสียหายน้ำท่วมปีนี้สูงกว่าปีที่ผ่านมา บริษัทประกันภัยรอสรุปหลังน้ำลด รับเบี้ยอาจปรับขึ้นแต่ต้องรอพิจารณาก่อน ด้านธนชาติ ระบุขายผ่านสาขาแบงก์โตอีกแน่ หลังควบธนชาต-นครหลวงเรียบร้อยดันอีก 2 ปีเปิดเพิ่มเป็น 1 พันสาขา จากเดิม 680 สาขา พร้อมโชว์เบี้ย 9 เดือนกวาดแล้วกว่า 3.4 พันล้านบาท
นายพีระพัฒน์ เมฆสิงห์วี กรรมการผู้จัดการ บริษัทธนชาตประกันภัย จำกัด เปิดเผยว่า สถานการณ์น้ำท่วมในช่วงที่ผ่านมาจากข้อมูลเบื้องต้นมีลูกค้าแจ้งเข้ามาประมาณ 37 ราย เป็นความเสียหายต่อทรัพย์สิน 5 ราย ทีเหลือเป็นความเสียหายของรถยนต์ รวมแล้วขณะนี้มียอดความเสียหายประมาณ 3.5 ล้านบาท โดยทรัพย์สินที่เสียหายส่วนใหญ่จะอยู่ในภาคกลาง ซึ่งขณะนี้ยังสรุปยอดรวมความเสียหายไม่ได้ แต่เชื่อว่าน่าจะมีมูลค่าสูงกว่าปีที่แล้วที่มียอดความเสียหายประมาณ 10 ล้านบาท
ด้าน นายวิชัย ชัยกิตติ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานสินไหมประกันภัยทั่วไป บริษัทเมืองไทยประกันภัย จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า สถานการณ์น้ำท่วมในนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนช่วงที่ผ่านมาบริษัทคงไม่มีผลกระทบอะไรเนื่องจากไม่ได้มีการรับประกันภัยในโรงงานที่อยู่ในนิคมอุตสาหกรรมแห่งนี้ ส่วนความเสียหายที่เกี่ยวกับการประกันภัยของบริษัทขณะนี้ยังไม่ทราบแน่ชัด โดยจะต้องรอให้สถาการณ์น้ำลดลงก่อนถึงจะประเมิณความเสียหายได้
ทั้่งนี้ ในส่วนของเบี้ยประกันภัยหลังจากที่เกิดอุทกภัยติดต่อกันมาหลายปีคาดว่าน่าจะมีการปรับขึ้นบ้าง เพียงแต่จะต้องมีการเจรจากันอีกครั้งก่อนเนื่องจากการปรับเบี้ยจะมีทางคปภ.กำกับดูแลอยู่
เชื่อสาขาแบงก์ช่วยธนชาตโต
นายพีระพัฒน์ กล่าวอีกว่าส่วนการดำเนินงานของบริษัทหลังจากนี้น่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากการเติบโตของช่องทางการขายผ่านสาขาธนาคารธนชาต ที่ล่าสุดมีการควบรวมกับธนาคารนครหลวงไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยล่าสุดมีสาขาถึง 680 สาขา และพนักงานกว่า 7 พันคน ซึ่งในอีก 2 ปีข้างหน้าน่าจะเติบโตเพิ่มขึ้นอีกจากการเปิดสาขาเพิ่มเป็น 1 พันสาขาในอนาคต
"ในช่วง 9เดือนที่ผ่านมาเรามีเบี้ยรับประมาณ 3.4 พันล้านบาท เป็นสัดส่วนจากช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์ประมาณ 1,100 ล้านบาท ซึ่งโตขึ้นประมาณ 50% จากที่เราตั้งเป้าไว้ทั้งปี 70% ซึ่งถึงแม้จะยังไม่เป็นไปตามเป้าแต่ก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจแล้ว โดยผลจากการเติบโตนี้มาจากการที่แบงก์ซัพพอร์ตการขาย และการทำกลยุทธ์แบบคอสเซลของบริษัท และหลังจากนี้ก็น่าจะเติบโตขึ้นอีก"
นายพีระพัฒน์ กล่าวอีกว่า หลังจากนี้นโยบายทั้งในส่วนของรถยนต์คันแรกและบ้านหลังแรกน่าจะกระตุ้นตลาดการประกันภัยให้เติบโตขึ้นได้อีก ซึ่งในส่วนของการประกันภัยหลังจากที่มีการประกาศใช้เกณฑ์การกำกับเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยง(RBC) ทำให้ต้องมีการเพิ่มทุนสำรองแต่ในส่วนของยังไม่จำเป็นที่จะต้องเพิ่มทุน เนื่องจากขณะนี้มีจำนวนสูงกว่าที่กำหนดไว้อยู่แล้ว โดยในส่วนของการประกันภัยรถยนต์บริษัทมีทุนสำรองอยู่สูงกว่าที่คปภ.บังคับไว้ถึง 650%
ส่วนด้านการลงทุนบริษัทน่าจะมีการปรับพอร์ตการลงทุนเพิ่มขึ้นได้หากพระราชบัญญัติการลงทุนฉบับใหม่มีผลบังคับใช้ในช่วงต้นปี ซึ่งจากศักยภาพเงินกองทุนที่กล่าวไปข้างต้น บริษัทจะสามารถเพิ่มการลงทุนได้หลากหลายมากขึ้น อย่างไรก็ตามในปัจจุบันบริษัทยังคงให้น้ำหนักการลงทุนใน พันธบัตรรัฐบาล และตั๋วB/E เป็นหลัก และได้ทำการลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นลงเหลือไม่ถึง 10% ของพอร์ตการลงทุน และส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นกลุ่มที่มีการปันผลสูง
นายพีระพัฒน์ เมฆสิงห์วี กรรมการผู้จัดการ บริษัทธนชาตประกันภัย จำกัด เปิดเผยว่า สถานการณ์น้ำท่วมในช่วงที่ผ่านมาจากข้อมูลเบื้องต้นมีลูกค้าแจ้งเข้ามาประมาณ 37 ราย เป็นความเสียหายต่อทรัพย์สิน 5 ราย ทีเหลือเป็นความเสียหายของรถยนต์ รวมแล้วขณะนี้มียอดความเสียหายประมาณ 3.5 ล้านบาท โดยทรัพย์สินที่เสียหายส่วนใหญ่จะอยู่ในภาคกลาง ซึ่งขณะนี้ยังสรุปยอดรวมความเสียหายไม่ได้ แต่เชื่อว่าน่าจะมีมูลค่าสูงกว่าปีที่แล้วที่มียอดความเสียหายประมาณ 10 ล้านบาท
ด้าน นายวิชัย ชัยกิตติ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานสินไหมประกันภัยทั่วไป บริษัทเมืองไทยประกันภัย จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า สถานการณ์น้ำท่วมในนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนช่วงที่ผ่านมาบริษัทคงไม่มีผลกระทบอะไรเนื่องจากไม่ได้มีการรับประกันภัยในโรงงานที่อยู่ในนิคมอุตสาหกรรมแห่งนี้ ส่วนความเสียหายที่เกี่ยวกับการประกันภัยของบริษัทขณะนี้ยังไม่ทราบแน่ชัด โดยจะต้องรอให้สถาการณ์น้ำลดลงก่อนถึงจะประเมิณความเสียหายได้
ทั้่งนี้ ในส่วนของเบี้ยประกันภัยหลังจากที่เกิดอุทกภัยติดต่อกันมาหลายปีคาดว่าน่าจะมีการปรับขึ้นบ้าง เพียงแต่จะต้องมีการเจรจากันอีกครั้งก่อนเนื่องจากการปรับเบี้ยจะมีทางคปภ.กำกับดูแลอยู่
เชื่อสาขาแบงก์ช่วยธนชาตโต
นายพีระพัฒน์ กล่าวอีกว่าส่วนการดำเนินงานของบริษัทหลังจากนี้น่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากการเติบโตของช่องทางการขายผ่านสาขาธนาคารธนชาต ที่ล่าสุดมีการควบรวมกับธนาคารนครหลวงไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยล่าสุดมีสาขาถึง 680 สาขา และพนักงานกว่า 7 พันคน ซึ่งในอีก 2 ปีข้างหน้าน่าจะเติบโตเพิ่มขึ้นอีกจากการเปิดสาขาเพิ่มเป็น 1 พันสาขาในอนาคต
"ในช่วง 9เดือนที่ผ่านมาเรามีเบี้ยรับประมาณ 3.4 พันล้านบาท เป็นสัดส่วนจากช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์ประมาณ 1,100 ล้านบาท ซึ่งโตขึ้นประมาณ 50% จากที่เราตั้งเป้าไว้ทั้งปี 70% ซึ่งถึงแม้จะยังไม่เป็นไปตามเป้าแต่ก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจแล้ว โดยผลจากการเติบโตนี้มาจากการที่แบงก์ซัพพอร์ตการขาย และการทำกลยุทธ์แบบคอสเซลของบริษัท และหลังจากนี้ก็น่าจะเติบโตขึ้นอีก"
นายพีระพัฒน์ กล่าวอีกว่า หลังจากนี้นโยบายทั้งในส่วนของรถยนต์คันแรกและบ้านหลังแรกน่าจะกระตุ้นตลาดการประกันภัยให้เติบโตขึ้นได้อีก ซึ่งในส่วนของการประกันภัยหลังจากที่มีการประกาศใช้เกณฑ์การกำกับเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยง(RBC) ทำให้ต้องมีการเพิ่มทุนสำรองแต่ในส่วนของยังไม่จำเป็นที่จะต้องเพิ่มทุน เนื่องจากขณะนี้มีจำนวนสูงกว่าที่กำหนดไว้อยู่แล้ว โดยในส่วนของการประกันภัยรถยนต์บริษัทมีทุนสำรองอยู่สูงกว่าที่คปภ.บังคับไว้ถึง 650%
ส่วนด้านการลงทุนบริษัทน่าจะมีการปรับพอร์ตการลงทุนเพิ่มขึ้นได้หากพระราชบัญญัติการลงทุนฉบับใหม่มีผลบังคับใช้ในช่วงต้นปี ซึ่งจากศักยภาพเงินกองทุนที่กล่าวไปข้างต้น บริษัทจะสามารถเพิ่มการลงทุนได้หลากหลายมากขึ้น อย่างไรก็ตามในปัจจุบันบริษัทยังคงให้น้ำหนักการลงทุนใน พันธบัตรรัฐบาล และตั๋วB/E เป็นหลัก และได้ทำการลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นลงเหลือไม่ถึง 10% ของพอร์ตการลงทุน และส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นกลุ่มที่มีการปันผลสูง