Astvผู้จัดการรายวัน - บลจ.เอ็มเอฟซ ประเมินเศรษฐกิจโลกังผันผวน จับตาปัญหาหนี้ยุโรป ยังเป็นไมเห็นสัญญาณฟื้นตัว ใขณะที่สหรัฐ ยังเชื่อระยะสั้น3เดือน ไม่เดรีเซสชั่น ส่วนตลาดหุ้นไทย ยังรับมือไว คาดดัชนีสิ้นปีวิ่งไปถึง 1,147 จุด ล่าสุด ส่งแคมเปญ"MFC Smile Gold"กระตุ้นยอดLTF-RMF ช่วงปลายปี
นางณัฐรา อิสรินทร์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายบริหารกองทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแนวโน้มเศรษฐกิโลกหลังจากนี้ว่า ปัญหาที่น่ากังวลในขณะนี้คือวิกฤตหนี้สาธารณะของกลุ่มประเทศในยุโรป ที่ยังไม่เห็นสัญญาณว่าจะฟื้นตัวกับขึ้นมาได้ในระยะ1-2 ปีนี้ ซึ่งปัญหาเรื่องการเมืองเอง ก็เป็นตัวแปรสำคัญในการแก้ปัญหาเช่นกัน เนื่องจากโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างซับซ้อน นโยบายของกลุ่มประเทศยุโรปจะต้องได้รับการตัดสินใจจากประเทศสมาชิกทั้ง 17 ประเทศก่อน ล่าสุด มีการพูดถึงการรวมกลุ่มของสหภาพยุโรปเองว่าอยู่กันอย่างไรต่อไป ซึ่งหากปล่อยให้กรีซต้องประสบปัญหาจนต้องออกจากกลุ่มไป จะมีต้นทุนที่สูงกว่าเพราะกลุ่มประเทศที่เหลือเองก็ล้วนมีการลงทุนในกรีซทั้งนั้น ดังนั้น จึงเชื่อว่าสหภาพยุโฟจะให้ความช่วยเหลือกรีซเต็มที่
ส่วนเศรษฐกิจสหรัฐ แม้ว่าโอกาศที่จะเกิดการถดถอยทางเศรษฐกิจมีเพิ่มขึ้นจาก 15-20% เป็น 30% แต่เอ็มเอฟซีเองมองว่า ใระยะสั้น 3 เดือนข้างหน้า จะยังไม่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว เพราะยังสามารถเติบโตได้ ม้จะเป็นอัตราการเติบโตที่ค่อนข้างช้าก็ตาม
นายสุทยุต เชื้อพานิช ผู้จัดการกองทุนอาวุโส ฝ่ายตราสารทุนต่างประเทศ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นโลกในช่วงสั้นนี้ คาดว่าจะเคลื่อนไหวแบบไซด์เวย์ และมีความผันผวนค่อนข้างสูง เนื่องจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วโลกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลกยังอยู่ใน ระดับที่ต่ำ ซึงการที่แวลูเอชั่นของหุ้นทั่วโลกจะค่อนข้างถูก ซึ่งอาจจะทำให้ดาวน์ไซด์ต่ำ แต่จากความไม่เชื่อมั่นดังกล่าว ก็ทำให้อับไซ์ดมีค่อนข้างต่ำเช่นนัน
ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนในภาวะเช่นนี้ หากสามารถซื้อขายได้เร็วก็จะมีโอกาสทำกำไรได้ประมาณ 5% แต่ถ้าเป็นการลงทุนระยะยาว อาจจะต้องมองลึกลงไปรายภูมิภาค ซึ่งเรามองว่า หุ้นสหรัฐเองตนนี้น่าสนใจ เพราะค่อนข้างมีเอกภาพในการแก้ปัญหาที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ในขณะที่หุ้นยุโรปเอง ถึงแม้ว่าตลาดลงมามากแต่ถ้ามองไประยะยาว ยังไม่ชัดเจนในเรื่องของแนวทางแก้ปัญหาหนี้ที่เผชิญกันอยู่ในขณะนี้ ดังนั้น ตลาดยุโรปเองจงน่าจะยังอันเดอร์เอร์ฟอร์มอยู่
สำหรับตลาดเกิดใหม่ นายสุยุตกล่าวว่า จริงอยูว่ากลุ่มนี้ มีแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูงกว่า แต่ก็มีปัจจัยเรื่องเงินเฟ้อกดดันอยู่พอสมควร โดเฉพาะประเทศเกิดใหมในเอเชียและกลุ่มละตินอเมริกา ขณะเดียวกัน นักลงทุนส่วนหนึ่งยังกังวลเกี่ยวกับนโยบายดอกเบี้ยของบางประเทศที่ส่งสัญญาณปรับลดลงสวนทางกับแนวน้มเงินเฟ้อที่ยังสงอยู่ เช่น รัสเซีย และบราซิล เป็นต้น
ในขณะที่จีนเอง มองว่ายังมีความกังวลเรื่องงินเฟ้ออยู่ แต่อีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตาดหุ้นจีนยังไม่ไปไนคือ ความกังวลของรัฐบาลจีนเกี่ยวกับภาวะฟองสบู่อสังหา ทั้งนี้ จะเห็นว่าที่ผ่านาหุ้นจีนเองมีความสมพันธ์กับราคาอสังหริมทรัพย์ค่อนข้างมก ดังนั้น การที่อสังหาริมทรัพย์ชะลอตัว จึงทำให้หุ้นจีนยังไม่ขยับไปไหน ซึ่งอาจจะต้องรอจนกว่าปัญหาเงินเฟ้อจบลงไปอย่างจริงจังแนวโน้มตลาดหุ้นจีน จึงจะเห็นความเคลื่อนไหวมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามมองว่าะยังไม่ใช่ในช่วง1-2 ไตรมาสนี้
ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นไทย นาย โกเมน นิยมวานิช ผู้จัดการกองทุนอาวุโส ฝ่ายตราสารทุนต่างประเทศ กล่าวว่า สำหรับตลาดหุ้นไทยเองเชื่อว่าจะยังทนทานต่อปัจจัยลบในต่างประเทศได้ โดยเฉพาะบริษัทจดทะเบียนที่ค่อนข้างแข็งแร่งกว่าช่วงเกิดวิกฤต 2551 ซึ่งเอ็มเอฟซีมองว่า ในปีนี้ดัชนีหุ้นไทยน่าจะปรับตัวขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 1,147 จุด ซึ่งปรับลดลงจากเป้าเดิมที่เราคาดการณ์ว่าจะไปถึง 1,198 ุด
ส่งเคมเปญ"MFC Smile Gold"กระตุ้นยอดLTF-RMF
นางสาวประภา ปูรณโชติ กรรการผู้จัดการ บลจ. เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาสสุดท้ายที่เหลือของปีนี้ ถือเป็นช่วงสำคัญที่มนุษย์เงินเดือนจะหันมาสนใจเป็นพิเศษกับการลงทุนเพื่อการ ประหยัดภาษี ซึ่งเอ็มเอฟซีมีกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ถึง 10 กองทุนให้ผู้สนใจสามารถเลือกลงทุนได้อย่างเหมาะกับสไตล์การลงทุนของตนเอง ความสามารถในการยอมรับความเสี่ยงในการลงทุน และพิจารณาได้เลือกจากแนวโน้มผลการดำเนินงานของกองทุน ดังนั้นเพื่อกระตุ้นการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ในช่วงปลายปีนี้ เอ็มเอฟซีจึงได้เปิดตัวแคมเปญใหม่ล่าสุด “MFC Smile Gold”-ยิ้มรับทอง เริ่มตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 31 ตุลาคมนี้โดยการออกแบบแคมเปญได้คำนึงถึงโอกาสการลงทุนที่ดี และประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับเป็นหลัก
ทั้งนี้ผู้ที่ลงทุนใน LTF และ RMF ของเอ็มเอฟซี ตั้งแต่ 50,000-99,999.99 บาท จะได้รับหน่วยลงทุนกองทุนเปิด MMM มูลค่า 300 บาท และ 100,000-199,999.99 บาทจะได้รับหน่วยลงทุนกองทุนเปิด MMM มูลค่า 600 บาท นอกจากนี้ผู้ลงทุนยังมีสิทธิ์ได้รับหน่วยลงทุนกองทุนเปิด I-GOLD ซึ่งเน้นลทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมทองคำ SPDR Gold Trust สูงสุดมูลค่า 8,000 บาท หรือสร้อยคอทองคำมูลค่า 12,500 บาทอีกด้วย
นางณัฐรา อิสรินทร์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายบริหารกองทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแนวโน้มเศรษฐกิโลกหลังจากนี้ว่า ปัญหาที่น่ากังวลในขณะนี้คือวิกฤตหนี้สาธารณะของกลุ่มประเทศในยุโรป ที่ยังไม่เห็นสัญญาณว่าจะฟื้นตัวกับขึ้นมาได้ในระยะ1-2 ปีนี้ ซึ่งปัญหาเรื่องการเมืองเอง ก็เป็นตัวแปรสำคัญในการแก้ปัญหาเช่นกัน เนื่องจากโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างซับซ้อน นโยบายของกลุ่มประเทศยุโรปจะต้องได้รับการตัดสินใจจากประเทศสมาชิกทั้ง 17 ประเทศก่อน ล่าสุด มีการพูดถึงการรวมกลุ่มของสหภาพยุโรปเองว่าอยู่กันอย่างไรต่อไป ซึ่งหากปล่อยให้กรีซต้องประสบปัญหาจนต้องออกจากกลุ่มไป จะมีต้นทุนที่สูงกว่าเพราะกลุ่มประเทศที่เหลือเองก็ล้วนมีการลงทุนในกรีซทั้งนั้น ดังนั้น จึงเชื่อว่าสหภาพยุโฟจะให้ความช่วยเหลือกรีซเต็มที่
ส่วนเศรษฐกิจสหรัฐ แม้ว่าโอกาศที่จะเกิดการถดถอยทางเศรษฐกิจมีเพิ่มขึ้นจาก 15-20% เป็น 30% แต่เอ็มเอฟซีเองมองว่า ใระยะสั้น 3 เดือนข้างหน้า จะยังไม่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว เพราะยังสามารถเติบโตได้ ม้จะเป็นอัตราการเติบโตที่ค่อนข้างช้าก็ตาม
นายสุทยุต เชื้อพานิช ผู้จัดการกองทุนอาวุโส ฝ่ายตราสารทุนต่างประเทศ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นโลกในช่วงสั้นนี้ คาดว่าจะเคลื่อนไหวแบบไซด์เวย์ และมีความผันผวนค่อนข้างสูง เนื่องจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วโลกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลกยังอยู่ใน ระดับที่ต่ำ ซึงการที่แวลูเอชั่นของหุ้นทั่วโลกจะค่อนข้างถูก ซึ่งอาจจะทำให้ดาวน์ไซด์ต่ำ แต่จากความไม่เชื่อมั่นดังกล่าว ก็ทำให้อับไซ์ดมีค่อนข้างต่ำเช่นนัน
ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนในภาวะเช่นนี้ หากสามารถซื้อขายได้เร็วก็จะมีโอกาสทำกำไรได้ประมาณ 5% แต่ถ้าเป็นการลงทุนระยะยาว อาจจะต้องมองลึกลงไปรายภูมิภาค ซึ่งเรามองว่า หุ้นสหรัฐเองตนนี้น่าสนใจ เพราะค่อนข้างมีเอกภาพในการแก้ปัญหาที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ในขณะที่หุ้นยุโรปเอง ถึงแม้ว่าตลาดลงมามากแต่ถ้ามองไประยะยาว ยังไม่ชัดเจนในเรื่องของแนวทางแก้ปัญหาหนี้ที่เผชิญกันอยู่ในขณะนี้ ดังนั้น ตลาดยุโรปเองจงน่าจะยังอันเดอร์เอร์ฟอร์มอยู่
สำหรับตลาดเกิดใหม่ นายสุยุตกล่าวว่า จริงอยูว่ากลุ่มนี้ มีแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูงกว่า แต่ก็มีปัจจัยเรื่องเงินเฟ้อกดดันอยู่พอสมควร โดเฉพาะประเทศเกิดใหมในเอเชียและกลุ่มละตินอเมริกา ขณะเดียวกัน นักลงทุนส่วนหนึ่งยังกังวลเกี่ยวกับนโยบายดอกเบี้ยของบางประเทศที่ส่งสัญญาณปรับลดลงสวนทางกับแนวน้มเงินเฟ้อที่ยังสงอยู่ เช่น รัสเซีย และบราซิล เป็นต้น
ในขณะที่จีนเอง มองว่ายังมีความกังวลเรื่องงินเฟ้ออยู่ แต่อีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตาดหุ้นจีนยังไม่ไปไนคือ ความกังวลของรัฐบาลจีนเกี่ยวกับภาวะฟองสบู่อสังหา ทั้งนี้ จะเห็นว่าที่ผ่านาหุ้นจีนเองมีความสมพันธ์กับราคาอสังหริมทรัพย์ค่อนข้างมก ดังนั้น การที่อสังหาริมทรัพย์ชะลอตัว จึงทำให้หุ้นจีนยังไม่ขยับไปไหน ซึ่งอาจจะต้องรอจนกว่าปัญหาเงินเฟ้อจบลงไปอย่างจริงจังแนวโน้มตลาดหุ้นจีน จึงจะเห็นความเคลื่อนไหวมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามมองว่าะยังไม่ใช่ในช่วง1-2 ไตรมาสนี้
ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นไทย นาย โกเมน นิยมวานิช ผู้จัดการกองทุนอาวุโส ฝ่ายตราสารทุนต่างประเทศ กล่าวว่า สำหรับตลาดหุ้นไทยเองเชื่อว่าจะยังทนทานต่อปัจจัยลบในต่างประเทศได้ โดยเฉพาะบริษัทจดทะเบียนที่ค่อนข้างแข็งแร่งกว่าช่วงเกิดวิกฤต 2551 ซึ่งเอ็มเอฟซีมองว่า ในปีนี้ดัชนีหุ้นไทยน่าจะปรับตัวขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 1,147 จุด ซึ่งปรับลดลงจากเป้าเดิมที่เราคาดการณ์ว่าจะไปถึง 1,198 ุด
ส่งเคมเปญ"MFC Smile Gold"กระตุ้นยอดLTF-RMF
นางสาวประภา ปูรณโชติ กรรการผู้จัดการ บลจ. เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาสสุดท้ายที่เหลือของปีนี้ ถือเป็นช่วงสำคัญที่มนุษย์เงินเดือนจะหันมาสนใจเป็นพิเศษกับการลงทุนเพื่อการ ประหยัดภาษี ซึ่งเอ็มเอฟซีมีกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ถึง 10 กองทุนให้ผู้สนใจสามารถเลือกลงทุนได้อย่างเหมาะกับสไตล์การลงทุนของตนเอง ความสามารถในการยอมรับความเสี่ยงในการลงทุน และพิจารณาได้เลือกจากแนวโน้มผลการดำเนินงานของกองทุน ดังนั้นเพื่อกระตุ้นการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ในช่วงปลายปีนี้ เอ็มเอฟซีจึงได้เปิดตัวแคมเปญใหม่ล่าสุด “MFC Smile Gold”-ยิ้มรับทอง เริ่มตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 31 ตุลาคมนี้โดยการออกแบบแคมเปญได้คำนึงถึงโอกาสการลงทุนที่ดี และประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับเป็นหลัก
ทั้งนี้ผู้ที่ลงทุนใน LTF และ RMF ของเอ็มเอฟซี ตั้งแต่ 50,000-99,999.99 บาท จะได้รับหน่วยลงทุนกองทุนเปิด MMM มูลค่า 300 บาท และ 100,000-199,999.99 บาทจะได้รับหน่วยลงทุนกองทุนเปิด MMM มูลค่า 600 บาท นอกจากนี้ผู้ลงทุนยังมีสิทธิ์ได้รับหน่วยลงทุนกองทุนเปิด I-GOLD ซึ่งเน้นลทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมทองคำ SPDR Gold Trust สูงสุดมูลค่า 8,000 บาท หรือสร้อยคอทองคำมูลค่า 12,500 บาทอีกด้วย