อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ออกมาเคลื่อนไหวเตือนสมาชิกสหกรณ์ระวังภัยรูปแบบใหม่ จัดตั้งสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ฯแบบหมกเม็ดเพื่อระดมทุนจำนวนมหาศาล เผยขณะนี้มีอยู่ 8 สมาคมที่เข้าข่ายผิดหลักการของระบบสหกรณ์ ส่งรายละเอียดไปยังคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.)ให้ตรวจสอบว่าเข้าข่ายธุรกิจประกันชีวิตหรือไม่ และชี้แจงเร่งด่วนถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศแล้ว
นายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเกี่ยวกับกรณีที่มีการจัดตั้งสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ขึ้นในพื้นที่ต่าง ๆ โดยมีจำนวน 8 แห่งที่ขอจดทะเบียนกับองค์การบริหารส่วนตำบล ซึ่งการดำเนินการดังกล่าว ในขณะนี้ตนมีความหวั่นเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อสมาชิกสหกรณ์ทั่วประเทศ โดยเฉพาะสมาชิกสหกรณ์ประเภทออมทรัพย์ เพราะวิธีการนำเสนอหรือชวนเชื่อ คือ ให้ผู้ที่สมัครเป็นสมาชิกเสียค่าสมัครรายละ 20 บาท ค่าบำรุงรายปี 20 บาท และจะต้องจ่ายค่าสงเคราะห์ศพรายละ 4,000 บาทต่อปี เมื่อสมาชิกตายก็จะได้รับเงิน 600,000 บาท โดยจำนวนเงินที่เรียกเก็บนั้นจะหักเก็บไว้ที่สหกรณ์ซึ่งเป็นศูนย์ประสานงานจำนวน 10 บาท อีกจำนวน 10 บาทจะนำเข้าไปไว้ที่สมาคมฯซึ่งตั้งอยู่ที่ จ.นนทบุรี ส่วนค่าสงเคราะห์ศพจำนวน 4,000 บาทจะหักเก็บไว้ที่ศูนย์ประสานงานในอัตราส่วน 70% ที่เหลือส่งให้กับศูนย์กลางในอัตรา 30%
จากการนำเสนอดังกล่าว กรมส่งเสริมสหกรณ์มีความกังวลว่าอาจเข้าข่ายองค์ประกอบการประกันชีวิต ซึ่งพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ.2535 ระบุว่าจะต้องเป็นบริษัทมหาชนจำกัดและต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีเท่านั้นจึงจะดำเนินการได้ ซึ่งประเด็นนี้มีความสุ่มเสี่ยงมาก เพราะถ้าหากสมาชิกสหกรณ์ทั่วประเทศสมัครเป็นสมาชิกและชำระเงินไปแล้ว แต่ในภายหลังสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์เหล่านั้นเกิดปัญหาขึ้นมาจะทำอย่างไร
เท่าที่ทราบขณะนี้ได้มีการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อระดมหาสมาชิกจำนวนนับล้านคน ซึ่งหากระดมได้ตามเป้าหมายจริง ๆ ก็จะทำให้มีเงินหมุนเวียนมูลค่ามหาศาล
“สิ่งที่ดำเนินการได้ในตอนนี้ก็คือจัดส่งรายละเอียดไปที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)ให้ทำการตรวจสอบกรณีดังกล่าวว่า เข้าข่ายการทำประกันชีวิตหรือไม่ และถ้าหากเข้าข่ายธุรกิจประกันชีวิตไม่สามารถทำได้ก็ต้องออกมาห้ามปรามหรือใช้อำนาจดำเนินการในระดับที่เหมาะสม ก่อนที่เหตุการณ์จะบานปลายลุกลามเสียหายไปมากกว่านี้ การที่ต้องลุกขึ้นมาพูดในเรื่องนี้เพราะส่วนหนึ่งมีการระดมทุนจากเกษตรกร ซึ่งเป็นสมาชิกในสหกรณ์ของเรา แต่เราไม่สามารถห้ามปรามให้เขาหยุดกระทำการได้ เพราะไม่ได้อยู่ในอำนาจตามกฏหมายที่กรมส่งเสริมสหกรณ์จะกระทำได้ จึงต้องส่งเรื่องไปให้คปภ.ตรวจสอบ และหากพบว่าเข้าข่ายประกันชีวิตก็ย่อมมีอำนาจสั่งห้ามดำเนินการต่อไป นอกจาก คปภ.แล้วขณะนี้กรมได้มีหนังสือไปถึงเลขาธิการสำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครับ และผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ รวมถึงสหกรณ์จังหวัดเพื่อกำชับและให้สมาชิกสหกรณ์ระมัดระวังก่อนที่จะตัดสินใจ และเกิดความเสียหายในภายหลัง” นายสมชาย กล่าว
นายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเกี่ยวกับกรณีที่มีการจัดตั้งสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ขึ้นในพื้นที่ต่าง ๆ โดยมีจำนวน 8 แห่งที่ขอจดทะเบียนกับองค์การบริหารส่วนตำบล ซึ่งการดำเนินการดังกล่าว ในขณะนี้ตนมีความหวั่นเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อสมาชิกสหกรณ์ทั่วประเทศ โดยเฉพาะสมาชิกสหกรณ์ประเภทออมทรัพย์ เพราะวิธีการนำเสนอหรือชวนเชื่อ คือ ให้ผู้ที่สมัครเป็นสมาชิกเสียค่าสมัครรายละ 20 บาท ค่าบำรุงรายปี 20 บาท และจะต้องจ่ายค่าสงเคราะห์ศพรายละ 4,000 บาทต่อปี เมื่อสมาชิกตายก็จะได้รับเงิน 600,000 บาท โดยจำนวนเงินที่เรียกเก็บนั้นจะหักเก็บไว้ที่สหกรณ์ซึ่งเป็นศูนย์ประสานงานจำนวน 10 บาท อีกจำนวน 10 บาทจะนำเข้าไปไว้ที่สมาคมฯซึ่งตั้งอยู่ที่ จ.นนทบุรี ส่วนค่าสงเคราะห์ศพจำนวน 4,000 บาทจะหักเก็บไว้ที่ศูนย์ประสานงานในอัตราส่วน 70% ที่เหลือส่งให้กับศูนย์กลางในอัตรา 30%
จากการนำเสนอดังกล่าว กรมส่งเสริมสหกรณ์มีความกังวลว่าอาจเข้าข่ายองค์ประกอบการประกันชีวิต ซึ่งพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ.2535 ระบุว่าจะต้องเป็นบริษัทมหาชนจำกัดและต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีเท่านั้นจึงจะดำเนินการได้ ซึ่งประเด็นนี้มีความสุ่มเสี่ยงมาก เพราะถ้าหากสมาชิกสหกรณ์ทั่วประเทศสมัครเป็นสมาชิกและชำระเงินไปแล้ว แต่ในภายหลังสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์เหล่านั้นเกิดปัญหาขึ้นมาจะทำอย่างไร
เท่าที่ทราบขณะนี้ได้มีการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อระดมหาสมาชิกจำนวนนับล้านคน ซึ่งหากระดมได้ตามเป้าหมายจริง ๆ ก็จะทำให้มีเงินหมุนเวียนมูลค่ามหาศาล
“สิ่งที่ดำเนินการได้ในตอนนี้ก็คือจัดส่งรายละเอียดไปที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)ให้ทำการตรวจสอบกรณีดังกล่าวว่า เข้าข่ายการทำประกันชีวิตหรือไม่ และถ้าหากเข้าข่ายธุรกิจประกันชีวิตไม่สามารถทำได้ก็ต้องออกมาห้ามปรามหรือใช้อำนาจดำเนินการในระดับที่เหมาะสม ก่อนที่เหตุการณ์จะบานปลายลุกลามเสียหายไปมากกว่านี้ การที่ต้องลุกขึ้นมาพูดในเรื่องนี้เพราะส่วนหนึ่งมีการระดมทุนจากเกษตรกร ซึ่งเป็นสมาชิกในสหกรณ์ของเรา แต่เราไม่สามารถห้ามปรามให้เขาหยุดกระทำการได้ เพราะไม่ได้อยู่ในอำนาจตามกฏหมายที่กรมส่งเสริมสหกรณ์จะกระทำได้ จึงต้องส่งเรื่องไปให้คปภ.ตรวจสอบ และหากพบว่าเข้าข่ายประกันชีวิตก็ย่อมมีอำนาจสั่งห้ามดำเนินการต่อไป นอกจาก คปภ.แล้วขณะนี้กรมได้มีหนังสือไปถึงเลขาธิการสำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครับ และผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ รวมถึงสหกรณ์จังหวัดเพื่อกำชับและให้สมาชิกสหกรณ์ระมัดระวังก่อนที่จะตัดสินใจ และเกิดความเสียหายในภายหลัง” นายสมชาย กล่าว
