บลจ.วรรณ ประเมินเศรษฐกิจจีนยังเติบโตต่อเนื่อง แม้จะมีปัญหาเรื่องเงินเฟ้อคาดทางการจีนจะใช้นโยบายการเงินเข้มงวดต่อไปอีกระยะหนึ่ง ขณะที่บรรยการศการลงทุนในตลาดหุ้นจีนยังน่าสนใจ ราคาหุ้นยังถูกกว่าตลาดหุ้นภูมิภาคอื่น เชียร์ทยอยสะสมกองทุน"ONE-CHINA " รับโอกาสดีในอนาคต
รายงานข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) วรรณ จำกัด เปิดเผยว่า มาตรการในการแก้ปัญหาแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ คาดว่าจีนจะใช้โนบายการเงินแบบเข้มงวดต่อไปอีกระยะหนึ่ง เพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อและฟองสบู่ในอสังหาริมทรัพย์ แต่จากการที่ประเทศจีนมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก่อนประเทศอื่น ทำให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงเป็นบวก น่าจะส่งผลให้การคาดการณ์การขึ้นอัตราดอกเบี้ยชะลอตัวลง ซึ่งจะเป็นผลดีต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้น
โดยบลจ.วรรณมองว่ารัฐบาลจีนน่าจะสามารถควบคุมแรงกดดันด้านอัตราเงินเฟ้อได้ภายในกลางปีนี้ ซึ่งตลาดหุ้นน่าจะมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้อีกครั้งในปีนี้ เห็นได้จากผลตอบแทนของตลาดหุ้นจีนปีนี้เริ่มปรับตัวสูงขึ้นที่ 5.3% นอกจากนี้เมื่อพิจารณาจาก HSCEI Index ในรอบ 12 เดือนย้อนหลังพบว่า มีการปรับตัวขึ้นค่อนข้างช้ากว่าตลาดอื่น ทำให้ P/E ของตลาดหุ้นจีนในปัจจุบันปรับตัวลงมาอยู่ที่ 11 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในตลาด นั่นหมายความว่าในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ ตลาดหุ้นจีนยังมีราคาถูกกว่าตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคอยู่และในส่วนของ EPS Growth และ อัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) ของตลาดหุ้นจีนนั้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยในตลาด ดังนั้นจึงมองว่าตลาดหุ้นจีนมีความน่าสนใจ และน่าจะมีเม็ดเงินเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นจีนมากขึ้นในปีนี้
ขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นปัจจัยบวกต่อการเติบโตของตลาดหุ้นจีน คือ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากความต้องการด้านที่อยู่อาคารสงเคราะห์ที่สูง และการได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล โดยมองว่าโครงการอาคารสงเคราะห์ จะเป็นปัจจัยบวกที่สำคัญสำหรับการเติบโตของเศรษฐกิจทั้งในปีนี้และปีหน้า นอกจากนี้ยังส่งผลให้กลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับการก่อสร้าง เช่นวัตถุดิบในการก่อสร้าง (Building materials) และอุตสาหกรรมเครื่องจักรในการก่อสร้าง (construction machinery industry) ได้ประโยชน์ตามไปด้วย ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมที่ส่งผลกระทบทางลบต่อการเติบโตของตลาดหุ้นจีน คือ กลุ่มน้ำมัน เนื่องจากความผันผวนอย่างรุนแรงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะราคาอาหารและพลังงาน ซึ่งจีนเป็นผู้บริโภคพลังงานรายใหญ่ที่สุดในโลก จากการที่ต้องพึ่งการนำเข้าน้ำมันเพื่อกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศ
ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าตลาดหุ้นจีนยังมีโอกาสสำหรับการลงทุน เนื่องจากการคาดการณ์ว่า แรงกดดันเกี่ยวกับการขึ้นอัตราดอกเบี้ยน่าจะลดลงในช่วงครึ่งปีหลัง ประกอบกับ ในแง่ของปัจจัยพื้นฐานนั้น ตลาดหุ้นจีนมี P/E ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในตลาด ทำให้มองว่าตลาดหุ้นจีนน่าสนใจ และเป็นโอกาสที่ดีในการสะสมการลงทุน โดยหากนักลงทุนที่มีความต้องการลงทุนในหุ้นจีนสามารถลงทุนผ่านกองทุนรวมของบลจ.วรรณ ผ่านกองทุน ONE-CHINA ซึ่งสามารถซื้อขายได้ทุกวันทำการ
อย่างไรก็ตามจีนเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับสูง มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่สุดในภูมิภาคเอเชีย หรือใหญ่เป็นอันดับ2 ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา สำหรับแนวโน้มการเติบโตของจีนในปีนี้ คาดว่าจะโตประมาณ 9-9.5% โดยมีแรงผลักดันจากความต้องการภายในประเทศดังที่ได้กล่าวมาในบทความที่แล้ว แต่ก็ยังเผชิญกับแรงกดดันที่สำคัญด้านเงินเฟ้อ ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนของนักลงทุนในตลาดหุ้นจีนการที่รัฐบาลจีนแก้ปัญหาเงินเฟ้อและภาวะฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ด้วยการใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวด เช่นการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทำให้การลงทุนมีแนวโน้มชะลอตัวลง เนื่องจากต้นทุนทางการเงิน และส่วนชดเชยความเสี่ยง (riskpremium) ของตลาดหุ้นจีนที่สูงขึ้น ที่ผ่านมารัฐบาลจีนได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยไปแล้วทั้งหมด 4 ครั้งตั้งแต่เดือนต.ค.ปีที่แล้ว
โดยล่าสุดธนาคารกลางจีนปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยทั้งภาคเงินฝากและเงินกู้เป็น 3.25% และ 6.31% ตามลำดับ เมื่อวันที่ 7 เม.ย. ที่ผ่านมา ส่งผลให้ในช่วงที่ผ่านมาผลตอบแทนของตลาดหุ้นจีนต่ำกว่าตลาดประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเอเชีย โดยในปี 2010นั้น ตลาดหุ้นจีนให้ผลตอบแทนเพียง 1.47% ในขณะที่ประเทศอื่น เช่น ตลาดหุ้นไทย หรือสิงคโปร์ ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่ามาก
รายงานข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) วรรณ จำกัด เปิดเผยว่า มาตรการในการแก้ปัญหาแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ คาดว่าจีนจะใช้โนบายการเงินแบบเข้มงวดต่อไปอีกระยะหนึ่ง เพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อและฟองสบู่ในอสังหาริมทรัพย์ แต่จากการที่ประเทศจีนมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก่อนประเทศอื่น ทำให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงเป็นบวก น่าจะส่งผลให้การคาดการณ์การขึ้นอัตราดอกเบี้ยชะลอตัวลง ซึ่งจะเป็นผลดีต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้น
โดยบลจ.วรรณมองว่ารัฐบาลจีนน่าจะสามารถควบคุมแรงกดดันด้านอัตราเงินเฟ้อได้ภายในกลางปีนี้ ซึ่งตลาดหุ้นน่าจะมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้อีกครั้งในปีนี้ เห็นได้จากผลตอบแทนของตลาดหุ้นจีนปีนี้เริ่มปรับตัวสูงขึ้นที่ 5.3% นอกจากนี้เมื่อพิจารณาจาก HSCEI Index ในรอบ 12 เดือนย้อนหลังพบว่า มีการปรับตัวขึ้นค่อนข้างช้ากว่าตลาดอื่น ทำให้ P/E ของตลาดหุ้นจีนในปัจจุบันปรับตัวลงมาอยู่ที่ 11 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในตลาด นั่นหมายความว่าในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ ตลาดหุ้นจีนยังมีราคาถูกกว่าตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคอยู่และในส่วนของ EPS Growth และ อัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) ของตลาดหุ้นจีนนั้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยในตลาด ดังนั้นจึงมองว่าตลาดหุ้นจีนมีความน่าสนใจ และน่าจะมีเม็ดเงินเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นจีนมากขึ้นในปีนี้
ขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นปัจจัยบวกต่อการเติบโตของตลาดหุ้นจีน คือ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากความต้องการด้านที่อยู่อาคารสงเคราะห์ที่สูง และการได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล โดยมองว่าโครงการอาคารสงเคราะห์ จะเป็นปัจจัยบวกที่สำคัญสำหรับการเติบโตของเศรษฐกิจทั้งในปีนี้และปีหน้า นอกจากนี้ยังส่งผลให้กลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับการก่อสร้าง เช่นวัตถุดิบในการก่อสร้าง (Building materials) และอุตสาหกรรมเครื่องจักรในการก่อสร้าง (construction machinery industry) ได้ประโยชน์ตามไปด้วย ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมที่ส่งผลกระทบทางลบต่อการเติบโตของตลาดหุ้นจีน คือ กลุ่มน้ำมัน เนื่องจากความผันผวนอย่างรุนแรงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะราคาอาหารและพลังงาน ซึ่งจีนเป็นผู้บริโภคพลังงานรายใหญ่ที่สุดในโลก จากการที่ต้องพึ่งการนำเข้าน้ำมันเพื่อกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศ
ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าตลาดหุ้นจีนยังมีโอกาสสำหรับการลงทุน เนื่องจากการคาดการณ์ว่า แรงกดดันเกี่ยวกับการขึ้นอัตราดอกเบี้ยน่าจะลดลงในช่วงครึ่งปีหลัง ประกอบกับ ในแง่ของปัจจัยพื้นฐานนั้น ตลาดหุ้นจีนมี P/E ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในตลาด ทำให้มองว่าตลาดหุ้นจีนน่าสนใจ และเป็นโอกาสที่ดีในการสะสมการลงทุน โดยหากนักลงทุนที่มีความต้องการลงทุนในหุ้นจีนสามารถลงทุนผ่านกองทุนรวมของบลจ.วรรณ ผ่านกองทุน ONE-CHINA ซึ่งสามารถซื้อขายได้ทุกวันทำการ
อย่างไรก็ตามจีนเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับสูง มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่สุดในภูมิภาคเอเชีย หรือใหญ่เป็นอันดับ2 ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา สำหรับแนวโน้มการเติบโตของจีนในปีนี้ คาดว่าจะโตประมาณ 9-9.5% โดยมีแรงผลักดันจากความต้องการภายในประเทศดังที่ได้กล่าวมาในบทความที่แล้ว แต่ก็ยังเผชิญกับแรงกดดันที่สำคัญด้านเงินเฟ้อ ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนของนักลงทุนในตลาดหุ้นจีนการที่รัฐบาลจีนแก้ปัญหาเงินเฟ้อและภาวะฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ด้วยการใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวด เช่นการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทำให้การลงทุนมีแนวโน้มชะลอตัวลง เนื่องจากต้นทุนทางการเงิน และส่วนชดเชยความเสี่ยง (riskpremium) ของตลาดหุ้นจีนที่สูงขึ้น ที่ผ่านมารัฐบาลจีนได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยไปแล้วทั้งหมด 4 ครั้งตั้งแต่เดือนต.ค.ปีที่แล้ว
โดยล่าสุดธนาคารกลางจีนปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยทั้งภาคเงินฝากและเงินกู้เป็น 3.25% และ 6.31% ตามลำดับ เมื่อวันที่ 7 เม.ย. ที่ผ่านมา ส่งผลให้ในช่วงที่ผ่านมาผลตอบแทนของตลาดหุ้นจีนต่ำกว่าตลาดประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเอเชีย โดยในปี 2010นั้น ตลาดหุ้นจีนให้ผลตอบแทนเพียง 1.47% ในขณะที่ประเทศอื่น เช่น ตลาดหุ้นไทย หรือสิงคโปร์ ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่ามาก