ASTVผู้จัดการรายวัน - บลจ.แอสเซทพลัส คาดการณ์ตลาดหุ้นไทยไตรมาส 2 อาจเจอแรงขายทำกำไร หลังกระแสเงินทุนต่างชาติซื้อสุทธิปริมาณสูงต่อเนื่อง แนะผู้ลงทุน ใช้ความระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น ล่าสุด จากอานิสงส์เงินไหลเข้า ส่งผลบวกต่อกองทุนกลุ่ม "แอสเซทพลัสสมาร์ท" 3 กองทุน
นางลดาวรรณ เจริญรัชต์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แอสเซท พลัส จำกัด เปิดเผยถึงแนวโน้มการปรับตัวของตลาดหลักทรัพย์ในไตรมาส 2 ว่า การที่ตลาดหุ้นมีการปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมาก และกระแสเงินลงทุนต่างชาติที่เข้ามาซื้อสุทธิในปริมาณสูง อาจทำให้เกิดการขายทำกำไร นอกจากนี้ แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่น่าจะปรับขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งมีผลกระทบต่อการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน และแนวโน้มการอ่อนค่าเงินเงินบาท อาจทำให้ความน่าสนใจของตลาดหุ้นไทยปรับลดลง ในขณะที่ปัจจัยการลงทุนในต่างประเทศ เช่น การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลาง โดยเฉพาะธนาคารกลางยุโรป ซึ่งหากมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์ และการครบกำหนดมาตรการผ่อนปรนทางการเงินของสหรัฐฯ (QE2) ในเดือน มิ.ย. อาจเป็นปัจจัยกดดันให้สภาพคล่องลดลงและส่งผลต่อภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ได้
ทั้งนี้ คาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยน่าจะสามารถปรับตัวขึ้นได้ถึง 1,150 จุด ซึ่งจะสอดคล้องกับมูลค่า P/E ของตลาดหุ้นไทยปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ระดับ 13.5 เท่า แต่อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นในช่วงนี้ยังคงมีความผันผวน ดังนั้น ผู้ลงทุนควรใช้ความระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น
"ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยในช่วงที่ผ่านมา ปรับตัวขึ้นจากปัจจัยหลักจากกระแสเงินทุนที่ไหลเข้าเอเชียและไทยอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการอัดฉีดเงินเข้าระบบของธนาคารกลางญี่ปุ่น ประกอบกับผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่ปรับตัวดีขึ้น โดยคาดว่าบริษัทจดทะเบียนไทยจะสามารถเติบโตในระดับ 15-20% ในปี 2554 ซึ่งโดยรวมคาดว่าปัจจัยดังกล่าวจะยังคงผลักดันให้ตลาดมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นได้ต่อในระยะสั้น" นางสาวลดาวรรณกล่าว
ทั้งนี้ กลุ่มหลักทรัพย์ที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างมากในช่วงที่ผ่านมา ได้แก่ กลุ่มธุรกิจพลังงาน กลุ่มปิโตรเคมี และธนาคารพาณิชย์ ส่งผลให้กองทุนหุ้นกลุ่ม SMART ซึ่งมีสัดส่วนการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าว สามารถรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนได้ จำนวน 3 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดแอสเซทพลัสสมาร์ท (ASP-SMART) สามารถรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติในอัตรา 0.35 บาทต่อหน่วย กองทุนเปิดแอสเซทพลัสสมาร์ท 2 (ASP-SMART2) ในอัตรา 0.70 บาทต่อหน่วย และกองทุนเปิดแอสเซทพลัส สมาร์ท 7 (ASP-SMART7) ในอัตรากองทุนละ 0.50 บาทต่อหน่วย
"ในการบริหารกองทุนหุ้นกลุ่ม SMART บริษัทเน้นการคัดเลือกหุ้นจากปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งในปี 2554 บริษัทฯ มองว่ากลุ่มธุรกิจพลังงานจะได้รับผลดีจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงกลุ่มธุรกิจอื่นที่มีความสัมพันธ์กับอัตราการขยายตัวของ GDP ในระดับสูง เช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ปิโตรเคมี จะมีผลประกอบการดีขึ้นตามการเติบโตของเศรษฐกิจ การที่กองทุนหุ้นกลุ่ม SMART ทั้ง 3 กองทุนสามารถรับซื้อคืนอัตโนมัติได้ตามเป้าหมายที่กำหนดดังกล่าวเป็นสิ่งที่ทำให้เรามั่นใจว่า การบริหารกองทุนโดยการคัดเลือกหุ้นตามปัจจัยพื้นฐานสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้อย่างสม่ำเสมอ” นางลดาวรรณ กล่าว
นางลดาวรรณกล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทอยู่ในระหว่างการพิจารณาจังหวะการเสนอขายกองทุน ASP-SMART10 โดยคาดว่าจะนำเสนอกองทุนดังกล่าวต่อผู้ลงทุนอีกครั้งหลังจากที่ตลาดสามารถปรับตัวขึ้นจนถึงระดับมูลค่าตามปัจจัยพื้นฐานแล้ว อาจมีการปรับฐาน ซึ่งเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนรอบใหม่
ทั้งนี้ กองทุนหุ้นกลุ่ม SMART เป็นกลุ่มกองทุนที่เน้นการบริหารกองทุนเชิงรุกทั้งด้านการคัดเลือกหุ้นตามปัจจัยพื้นฐาน (Stock selection) และการจับจังหวะซื้อขาย (Market timing) โดยไม่ได้คำนึงถึงน้ำหนักการลงทุนของดัชนี เพื่อสร้างผลตอบแทนเป้าหมายตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้เป็นหลัก และกองทุนมีการใช้อนุพันธ์ประกอบการบริหารกองทุนเพื่อลดความเสี่ยงในช่วงตลาดผันผวน (Minimize Downside) ทั้งนี้ กองทุนมีประวัติการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติอย่างต่อเนื่อง โดย กองทุน ASP-SMART มีอัตราการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติรวม 138% ของเงินลงทุนเริ่มแรก โดยกองทุน ASP-SMART จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 10 เม.ย. 52 มีอายุ 3 ปี และได้ทำการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติไปแล้ว 26 ครั้ง กองทุน ASP-SMART2 มีอัตราการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติรวม 62% ของเงินลงทุนเริ่มแรก โดยกองทุน ASP-SMART2 จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 10 ต.ค. 52 มีอายุ 2 ปี และได้ทำการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติไปแล้ว 12 ครั้ง
สำหรับ กองทุน ASP-SMART7 จัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 8 ต.ค. 53 มีเป้าหมายผลตอบแทน 10% โดยหลังจากรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติมูลค่า 0.50 บาทต่อหน่วยเมื่อวันที่ 4 เม.ย. ที่ผ่านมาแล้ว กองทุน ASP-SMART7 มีเป้าหมายการปิดกองทุนเมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนผ่านระดับ 11.00 บาท ทั้งนี้ หากตลาดยังคงสามารถปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องคาดว่าจะส่งผลดีต่อกองทุนให้สามารถปิดกองทุนได้ก่อนครบอายุกองทุน 1 ปี
นางลดาวรรณ เจริญรัชต์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แอสเซท พลัส จำกัด เปิดเผยถึงแนวโน้มการปรับตัวของตลาดหลักทรัพย์ในไตรมาส 2 ว่า การที่ตลาดหุ้นมีการปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมาก และกระแสเงินลงทุนต่างชาติที่เข้ามาซื้อสุทธิในปริมาณสูง อาจทำให้เกิดการขายทำกำไร นอกจากนี้ แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่น่าจะปรับขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งมีผลกระทบต่อการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน และแนวโน้มการอ่อนค่าเงินเงินบาท อาจทำให้ความน่าสนใจของตลาดหุ้นไทยปรับลดลง ในขณะที่ปัจจัยการลงทุนในต่างประเทศ เช่น การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลาง โดยเฉพาะธนาคารกลางยุโรป ซึ่งหากมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์ และการครบกำหนดมาตรการผ่อนปรนทางการเงินของสหรัฐฯ (QE2) ในเดือน มิ.ย. อาจเป็นปัจจัยกดดันให้สภาพคล่องลดลงและส่งผลต่อภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ได้
ทั้งนี้ คาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยน่าจะสามารถปรับตัวขึ้นได้ถึง 1,150 จุด ซึ่งจะสอดคล้องกับมูลค่า P/E ของตลาดหุ้นไทยปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ระดับ 13.5 เท่า แต่อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นในช่วงนี้ยังคงมีความผันผวน ดังนั้น ผู้ลงทุนควรใช้ความระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น
"ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยในช่วงที่ผ่านมา ปรับตัวขึ้นจากปัจจัยหลักจากกระแสเงินทุนที่ไหลเข้าเอเชียและไทยอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการอัดฉีดเงินเข้าระบบของธนาคารกลางญี่ปุ่น ประกอบกับผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่ปรับตัวดีขึ้น โดยคาดว่าบริษัทจดทะเบียนไทยจะสามารถเติบโตในระดับ 15-20% ในปี 2554 ซึ่งโดยรวมคาดว่าปัจจัยดังกล่าวจะยังคงผลักดันให้ตลาดมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นได้ต่อในระยะสั้น" นางสาวลดาวรรณกล่าว
ทั้งนี้ กลุ่มหลักทรัพย์ที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างมากในช่วงที่ผ่านมา ได้แก่ กลุ่มธุรกิจพลังงาน กลุ่มปิโตรเคมี และธนาคารพาณิชย์ ส่งผลให้กองทุนหุ้นกลุ่ม SMART ซึ่งมีสัดส่วนการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าว สามารถรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนได้ จำนวน 3 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดแอสเซทพลัสสมาร์ท (ASP-SMART) สามารถรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติในอัตรา 0.35 บาทต่อหน่วย กองทุนเปิดแอสเซทพลัสสมาร์ท 2 (ASP-SMART2) ในอัตรา 0.70 บาทต่อหน่วย และกองทุนเปิดแอสเซทพลัส สมาร์ท 7 (ASP-SMART7) ในอัตรากองทุนละ 0.50 บาทต่อหน่วย
"ในการบริหารกองทุนหุ้นกลุ่ม SMART บริษัทเน้นการคัดเลือกหุ้นจากปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งในปี 2554 บริษัทฯ มองว่ากลุ่มธุรกิจพลังงานจะได้รับผลดีจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงกลุ่มธุรกิจอื่นที่มีความสัมพันธ์กับอัตราการขยายตัวของ GDP ในระดับสูง เช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ปิโตรเคมี จะมีผลประกอบการดีขึ้นตามการเติบโตของเศรษฐกิจ การที่กองทุนหุ้นกลุ่ม SMART ทั้ง 3 กองทุนสามารถรับซื้อคืนอัตโนมัติได้ตามเป้าหมายที่กำหนดดังกล่าวเป็นสิ่งที่ทำให้เรามั่นใจว่า การบริหารกองทุนโดยการคัดเลือกหุ้นตามปัจจัยพื้นฐานสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้อย่างสม่ำเสมอ” นางลดาวรรณ กล่าว
นางลดาวรรณกล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทอยู่ในระหว่างการพิจารณาจังหวะการเสนอขายกองทุน ASP-SMART10 โดยคาดว่าจะนำเสนอกองทุนดังกล่าวต่อผู้ลงทุนอีกครั้งหลังจากที่ตลาดสามารถปรับตัวขึ้นจนถึงระดับมูลค่าตามปัจจัยพื้นฐานแล้ว อาจมีการปรับฐาน ซึ่งเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนรอบใหม่
ทั้งนี้ กองทุนหุ้นกลุ่ม SMART เป็นกลุ่มกองทุนที่เน้นการบริหารกองทุนเชิงรุกทั้งด้านการคัดเลือกหุ้นตามปัจจัยพื้นฐาน (Stock selection) และการจับจังหวะซื้อขาย (Market timing) โดยไม่ได้คำนึงถึงน้ำหนักการลงทุนของดัชนี เพื่อสร้างผลตอบแทนเป้าหมายตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้เป็นหลัก และกองทุนมีการใช้อนุพันธ์ประกอบการบริหารกองทุนเพื่อลดความเสี่ยงในช่วงตลาดผันผวน (Minimize Downside) ทั้งนี้ กองทุนมีประวัติการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติอย่างต่อเนื่อง โดย กองทุน ASP-SMART มีอัตราการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติรวม 138% ของเงินลงทุนเริ่มแรก โดยกองทุน ASP-SMART จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 10 เม.ย. 52 มีอายุ 3 ปี และได้ทำการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติไปแล้ว 26 ครั้ง กองทุน ASP-SMART2 มีอัตราการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติรวม 62% ของเงินลงทุนเริ่มแรก โดยกองทุน ASP-SMART2 จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 10 ต.ค. 52 มีอายุ 2 ปี และได้ทำการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติไปแล้ว 12 ครั้ง
สำหรับ กองทุน ASP-SMART7 จัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 8 ต.ค. 53 มีเป้าหมายผลตอบแทน 10% โดยหลังจากรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติมูลค่า 0.50 บาทต่อหน่วยเมื่อวันที่ 4 เม.ย. ที่ผ่านมาแล้ว กองทุน ASP-SMART7 มีเป้าหมายการปิดกองทุนเมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนผ่านระดับ 11.00 บาท ทั้งนี้ หากตลาดยังคงสามารถปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องคาดว่าจะส่งผลดีต่อกองทุนให้สามารถปิดกองทุนได้ก่อนครบอายุกองทุน 1 ปี