ASTVผู้จัดการรายวัน-เอเอซีพีตั้งเป้า ขายประกันผ่านทีวีภายในครึ่งแรกปีนี้ มั่นใจเป็นช่องทางที่ขยายตัวได้ดี เหตุคนไทยกว่า 99% ติดทีวี ระบุทุกบริษัทสามารถทำได้แต่ต้องแบกต้นทุนสูง และกว่าจะคุ้มทุนต้องให้เวลานาน 5-10 ปี ขณะเดียวกันเผย สินค้าใหม่ต้องตอบโจทย์มากขึ้น หลังพฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยน แต่ยังเชื่อมีกรมธรรม์ครอบคลุมทุกความต้องการแล้ว ชูมายแพลนเจ๋งสุดจ่ายผลตอบแทนสูงถึง 4.5%
นางสาวพัชรา ทวีชัยวัฒนะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายบริหารการตลาดและสื่อสารองค์กร บริษัทอยุธยา อลิอันซ์ ซี.พี.ประกันชีวิต จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า การเพิ่มช่องทางการจำหน่ายในปีนี้บริษัทจะรุกช่องทางการขายตรงผ่านโทรทัศน์เพิ่มเติมหลังจากที่เคยวางแผนเอาไว้ โดยเชื่อว่าช่องทางนี้น่าจะเหมาะกับประเทศไทย เนื่องจากคนไทยกว่า 99% ชอบดูโทรทัศน์ แต่อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่าต้นทุนการทำตลาดช่องทางนี้ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับเบี้ยประกันที่จะได้รับในช่วงแรก
"ประเทศไทยยังมีอัตราการทำประกันชีวิตที่ต่ำสามารถที่จะโตได้อีก ทุกบริษัทสามารถทำการตลาดผ่านโทรทัศน์ได้แต่มีข้อจำกัดที่ค่ามิเดียจะแพงมาก ซึ่งการลงทุนกว่าจะคุ้มทุนต้องใช้เวลา 5-10 ปี แต่เบี้ยที่จะได้รับแต่ละรายจะต่ำเพราะเราต้องขายแมส โดยหากจะวัดความสำเร็จคงต้องดูในส่วนของจำนวนคนที่เข้ามาทำประกันกับเรามากกว่า และบริษัทเองก็จะพยายามทำตลาดผ่านช่องทางนี้ให้ได้ภายในครึ่งแรกของปีนี้"นางสาวพัชรากล่าว
ส่วนการออกผลิตภัณท์ใหม่ในปีนี้ บริษัทคงจะต้องดูความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก เพราะที่ผ่านมาพฤติกรรมของลูกค้าเปลี่ยนแปลงไปพอสมควร อีกทั้งในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยยังไม่ปรับขึ้นการออกสินค้าที่มีรูปแบบการันตีผลตอบแทนคงจะทำได้ยากขึ้น แต่บริษัทจำเป็นที่จะต้องมีสินค้าประเภทนี้เอาไว้ เพื่อให้ครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า
นอกจากนี้ นางสาวพัชรา กล่าวอีกว่า ในช่วง 1-2 เดือนนี้บริษัทยังไม่มีแผนการออกกรมธรรม์ใหม่ แต่จะโฟกัสกับสินค้าที่มีอยู่ ซึ่งตัวแทนจะต้องมีความชำนาญและสามารถนำไปบอกต่อแก่ลูกค้าได้ โดยสินค้านอกจากจะแตกต่างกันแล้วตัวแทนเองมักจะจับกลุ่มลูกค้าที่ต่างกันไม่ว่าจะเป็นตลาดทั่วไป ระดับไฮเอน หรือลูกค้าเกษียณ ส่งผลให้บริษัทต้องมีสินค้าหลายประเภท และปัจจุบันก็น่าจะครอบคลุมได้ทุกความต้องการแล้ว
โดยขณะนี้กรมธรรม์ เอเอซีพี มายแพลน ถือเป็นตัวหลักของบริษัทที่บริษัทมีความชำนาญและนับเป็นผู้นำตลาดรายแรกที่ทำการออกสินค้าประเภทนี้ เนื่องจากมีการปรึกษากับบริษัทแม่ที่เยอรมันเป็นประจำทำให้บริษัทสามารถออกกรมธรรม์แบบนี้ ซึ่งสัดส่วนของ"มายแพลน"ถือว่ามากที่สุดจากสินค้าทั้งหมดของบริษัทหรือคิดเป็นประมาณ 60% ที่เหลือจะเป็นประเภทอื่นเฉลี่ยกันไป ซึ่งปัจจุบันเรามีลูกค้าอยู่ทั้งหมด 1.6 ล้านกรมธรรม์และปีที่ผ่านมายังเพิ่มขึ้นกว่า 5-6 หมื่นกรมธรรม์
"มายแพลนเราถือว่าประสบความสำเร็จที่ผ่านมาเราจ่ายผลตอบแทน 4.5% ซึ่งลูกค้าเราเริ่มเข้าใจสินค้ารูปแบบนี้มากขึ้น และการทำประกันชีวิตเป็นโอกาสในระยะยาวไม่เหมือนหุ้น หรือกองทุน แต่เราควรจะมีไว้ ส่วนการผ่อนเบี้ยก็จะขึ้นอยู่กับรายได้ของแต่ละคน โดยนะตอนนี้การออกสินค้าจึงต้องทำการบ้านแต่มายแพลนถ้าลูกค้าเข้าใจ แต่ละคนจะไม่เหมือนกัน"นางพัชรากล่าว
นางสาวพัชรา ทวีชัยวัฒนะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายบริหารการตลาดและสื่อสารองค์กร บริษัทอยุธยา อลิอันซ์ ซี.พี.ประกันชีวิต จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า การเพิ่มช่องทางการจำหน่ายในปีนี้บริษัทจะรุกช่องทางการขายตรงผ่านโทรทัศน์เพิ่มเติมหลังจากที่เคยวางแผนเอาไว้ โดยเชื่อว่าช่องทางนี้น่าจะเหมาะกับประเทศไทย เนื่องจากคนไทยกว่า 99% ชอบดูโทรทัศน์ แต่อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่าต้นทุนการทำตลาดช่องทางนี้ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับเบี้ยประกันที่จะได้รับในช่วงแรก
"ประเทศไทยยังมีอัตราการทำประกันชีวิตที่ต่ำสามารถที่จะโตได้อีก ทุกบริษัทสามารถทำการตลาดผ่านโทรทัศน์ได้แต่มีข้อจำกัดที่ค่ามิเดียจะแพงมาก ซึ่งการลงทุนกว่าจะคุ้มทุนต้องใช้เวลา 5-10 ปี แต่เบี้ยที่จะได้รับแต่ละรายจะต่ำเพราะเราต้องขายแมส โดยหากจะวัดความสำเร็จคงต้องดูในส่วนของจำนวนคนที่เข้ามาทำประกันกับเรามากกว่า และบริษัทเองก็จะพยายามทำตลาดผ่านช่องทางนี้ให้ได้ภายในครึ่งแรกของปีนี้"นางสาวพัชรากล่าว
ส่วนการออกผลิตภัณท์ใหม่ในปีนี้ บริษัทคงจะต้องดูความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก เพราะที่ผ่านมาพฤติกรรมของลูกค้าเปลี่ยนแปลงไปพอสมควร อีกทั้งในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยยังไม่ปรับขึ้นการออกสินค้าที่มีรูปแบบการันตีผลตอบแทนคงจะทำได้ยากขึ้น แต่บริษัทจำเป็นที่จะต้องมีสินค้าประเภทนี้เอาไว้ เพื่อให้ครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า
นอกจากนี้ นางสาวพัชรา กล่าวอีกว่า ในช่วง 1-2 เดือนนี้บริษัทยังไม่มีแผนการออกกรมธรรม์ใหม่ แต่จะโฟกัสกับสินค้าที่มีอยู่ ซึ่งตัวแทนจะต้องมีความชำนาญและสามารถนำไปบอกต่อแก่ลูกค้าได้ โดยสินค้านอกจากจะแตกต่างกันแล้วตัวแทนเองมักจะจับกลุ่มลูกค้าที่ต่างกันไม่ว่าจะเป็นตลาดทั่วไป ระดับไฮเอน หรือลูกค้าเกษียณ ส่งผลให้บริษัทต้องมีสินค้าหลายประเภท และปัจจุบันก็น่าจะครอบคลุมได้ทุกความต้องการแล้ว
โดยขณะนี้กรมธรรม์ เอเอซีพี มายแพลน ถือเป็นตัวหลักของบริษัทที่บริษัทมีความชำนาญและนับเป็นผู้นำตลาดรายแรกที่ทำการออกสินค้าประเภทนี้ เนื่องจากมีการปรึกษากับบริษัทแม่ที่เยอรมันเป็นประจำทำให้บริษัทสามารถออกกรมธรรม์แบบนี้ ซึ่งสัดส่วนของ"มายแพลน"ถือว่ามากที่สุดจากสินค้าทั้งหมดของบริษัทหรือคิดเป็นประมาณ 60% ที่เหลือจะเป็นประเภทอื่นเฉลี่ยกันไป ซึ่งปัจจุบันเรามีลูกค้าอยู่ทั้งหมด 1.6 ล้านกรมธรรม์และปีที่ผ่านมายังเพิ่มขึ้นกว่า 5-6 หมื่นกรมธรรม์
"มายแพลนเราถือว่าประสบความสำเร็จที่ผ่านมาเราจ่ายผลตอบแทน 4.5% ซึ่งลูกค้าเราเริ่มเข้าใจสินค้ารูปแบบนี้มากขึ้น และการทำประกันชีวิตเป็นโอกาสในระยะยาวไม่เหมือนหุ้น หรือกองทุน แต่เราควรจะมีไว้ ส่วนการผ่อนเบี้ยก็จะขึ้นอยู่กับรายได้ของแต่ละคน โดยนะตอนนี้การออกสินค้าจึงต้องทำการบ้านแต่มายแพลนถ้าลูกค้าเข้าใจ แต่ละคนจะไม่เหมือนกัน"นางพัชรากล่าว