บลจ.ธนชาต แนะทองคำควรถือยาว ต้องมีในพอร์ตไว้ 5 - 10% ยิ่งราคาลงต้องรีบทยอยซื้อเก็บ ล่าสุดนำ 2 กองทุน “ธนชาตทองคำแท่ง-H และธนชาตทองคำแท่ง-UH” ขายต่อ หลังนักลงทุนพลาดช่วงไอพีโอ
นายบุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ธนชาต จำกัด เปิดเผยว่า ทองคำถือเป็นสินค้าเพื่อการลงทุนอย่างหนึ่ง ซึ่งนักลงทุนหลายรายจะนิยามเป็นอย่างมากในช่วงความผันผวน ดังนั้นนักลงทุนจึงต้องมีทองคำอยู่ในพอร์ตของตัวเองอย่างน้อย 5 - 10% หรืออาจจะมากกว่านั้นก็สามารถทำได้ เพราะทองคำเป็นสินค้าที่ลงทุนได้ในระยะยาว ยิ่งตอนราคาทองคำถูกลงนักลงทุนต้องทยอยซื้อเก็บสะสมไว้ เพราะจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีต่อไปในอนาคตได้
“ลงทุนในทองคำเป็นการลงทุนในสินทรัพย์มั่นคงไม่ด้อยค่าลง ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ดีในการลงทุนซึ่งพอร์ตการลงทุนส่วนใหญ่นอกจากจะมีหุ้น ตราสารหนี้ แล้ว ควรมีทองคำอยู่ในพอร์ตการลงทุนด้วย แต่ควรลงทุนในระยะยาวจะสามารถสร้างผลตอบแทนดี” นายบุญชัย กล่าว
ทั้งนี้ เมื่อช่วงเดือนที่ผ่านมาบริษัทได้เปิดไอพีโอกองทุนเปิดธนชาตทองคำแท่ง-H และกองทุนเปิดธนชาตทองคำแท่ง-UH ไปเมื่อวันที่ 15-23 กุมภาพันธ์ 2554 โดยกองทุนได้จดทะเบียนไว้กองทุนละ 1,4000 ล้านบาท รวมมูลค่า 2,800 ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมานักลงทุนได้ให้การตอบเป็นอย่างดี
โดยล่าสุด สำหรับนักลงทุนที่พลาดการลงทุนใน 2 กองทุนดังกล่าว วันนี้ (9 มี.ค. 54) สามารถลงทุนได้แล้ว โดยจุดเด่นของกองทุนทั้งสองกองทุนคือ กองทุนจะเข้าไปลงทุนในทองคำแท่งโดยตรง และจะเก็บไว้ใน ห้องมั่นคง (Vauit) ของ HKIA Precious Metals Depository ในฮ่องกง ทั้งนี้บลจ.ธนชาต ได้ทำงานร่วมกับ Scotia Mocatta ที่คว่ำหวอดและมีประสบการณ์ในตลาดทองคำมาอย่างยาวนาน และเป็น 1 ใน 6 ผู้ค้าทองคำชั้นนำของโลก (Market Makers) และเป็นสมาชิกของ London Bollion Market ที่ให้บริการเก็บรักษาโลหะมีค่าและการชำระราคา
นอกจากนี้ ข้อแตกต่างของกองรวมทองคำของบลจ.ธนชาตที่ต่างจากกองทุนทองคำที่มีอยู่ในตลาดคือ ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นค่อนข้างน้อย โดยนักลงทุนสามารถลงทุนขั้นต่ำเพียงแค่ 1,000 บาท ขณะที่ทองคำที่ลงทุนเป็นทองคำที่มีมาตรฐานสากลและมีความปลอดภัยในการจัดเก็บ พร้อมกับมีทางเลือกให้นักลงทุนได้เลือกลงทุนทั้ง 2 กองทุนไม่ว่าจะเป็นป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนและไม่ป้องกันกันความเสี่ยง และที่สำคัญคือ ได้รับเงินค่าขายคืนหน่วยลงทุนเร็ว ในวันทำการรุ่งขึ้นหากผู้ลงทุนขายคืนหน่วยลงทุนโดยรับเงินให้นำฝากเข้าบัญชีฝากเงินของผู้ลงทุน (T+1) อีกด้วย
นายบุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ธนชาต จำกัด เปิดเผยว่า ทองคำถือเป็นสินค้าเพื่อการลงทุนอย่างหนึ่ง ซึ่งนักลงทุนหลายรายจะนิยามเป็นอย่างมากในช่วงความผันผวน ดังนั้นนักลงทุนจึงต้องมีทองคำอยู่ในพอร์ตของตัวเองอย่างน้อย 5 - 10% หรืออาจจะมากกว่านั้นก็สามารถทำได้ เพราะทองคำเป็นสินค้าที่ลงทุนได้ในระยะยาว ยิ่งตอนราคาทองคำถูกลงนักลงทุนต้องทยอยซื้อเก็บสะสมไว้ เพราะจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีต่อไปในอนาคตได้
“ลงทุนในทองคำเป็นการลงทุนในสินทรัพย์มั่นคงไม่ด้อยค่าลง ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ดีในการลงทุนซึ่งพอร์ตการลงทุนส่วนใหญ่นอกจากจะมีหุ้น ตราสารหนี้ แล้ว ควรมีทองคำอยู่ในพอร์ตการลงทุนด้วย แต่ควรลงทุนในระยะยาวจะสามารถสร้างผลตอบแทนดี” นายบุญชัย กล่าว
ทั้งนี้ เมื่อช่วงเดือนที่ผ่านมาบริษัทได้เปิดไอพีโอกองทุนเปิดธนชาตทองคำแท่ง-H และกองทุนเปิดธนชาตทองคำแท่ง-UH ไปเมื่อวันที่ 15-23 กุมภาพันธ์ 2554 โดยกองทุนได้จดทะเบียนไว้กองทุนละ 1,4000 ล้านบาท รวมมูลค่า 2,800 ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมานักลงทุนได้ให้การตอบเป็นอย่างดี
โดยล่าสุด สำหรับนักลงทุนที่พลาดการลงทุนใน 2 กองทุนดังกล่าว วันนี้ (9 มี.ค. 54) สามารถลงทุนได้แล้ว โดยจุดเด่นของกองทุนทั้งสองกองทุนคือ กองทุนจะเข้าไปลงทุนในทองคำแท่งโดยตรง และจะเก็บไว้ใน ห้องมั่นคง (Vauit) ของ HKIA Precious Metals Depository ในฮ่องกง ทั้งนี้บลจ.ธนชาต ได้ทำงานร่วมกับ Scotia Mocatta ที่คว่ำหวอดและมีประสบการณ์ในตลาดทองคำมาอย่างยาวนาน และเป็น 1 ใน 6 ผู้ค้าทองคำชั้นนำของโลก (Market Makers) และเป็นสมาชิกของ London Bollion Market ที่ให้บริการเก็บรักษาโลหะมีค่าและการชำระราคา
นอกจากนี้ ข้อแตกต่างของกองรวมทองคำของบลจ.ธนชาตที่ต่างจากกองทุนทองคำที่มีอยู่ในตลาดคือ ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นค่อนข้างน้อย โดยนักลงทุนสามารถลงทุนขั้นต่ำเพียงแค่ 1,000 บาท ขณะที่ทองคำที่ลงทุนเป็นทองคำที่มีมาตรฐานสากลและมีความปลอดภัยในการจัดเก็บ พร้อมกับมีทางเลือกให้นักลงทุนได้เลือกลงทุนทั้ง 2 กองทุนไม่ว่าจะเป็นป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนและไม่ป้องกันกันความเสี่ยง และที่สำคัญคือ ได้รับเงินค่าขายคืนหน่วยลงทุนเร็ว ในวันทำการรุ่งขึ้นหากผู้ลงทุนขายคืนหน่วยลงทุนโดยรับเงินให้นำฝากเข้าบัญชีฝากเงินของผู้ลงทุน (T+1) อีกด้วย