ASTVผู้จัดการายวัน - บลจ.ทหารไทยคาด แบงก์ชาติ ขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องสกัดเงินเฟ้อขณะที่ราคาอาหารดันเงินเฟ้อขึ้น แนะ กองตราสารหนี้"ธนรัฐ"น่าลงทุนในช่วง 1-2 เดือนนี้ เพราะ เตรียมพอร์ตเข้าซื้อพันธรัฐบาลทันทีหากดอกเบี้ยขึ้น
นายธีระศันส์ ทุติยะโพธิ ผู้จัดการกองทุนอาวุโส ฝ่ายจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทหารไทย จำกัด กล่าวว่า ตลาดตราสารหนี้ในช่วงระยะ 1-2 สัปดาห์นี้กำลังรอดูความเคลื่อนไหวของทางแบงก์ชาติว่าจะกำหนดทิศทางอัตตราดอกเบี้ยเป็นอย่างไร ซึ่งมีแนวโน้มว่าทางแบงก์ชาติจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกประมาณ 0.25% เพื่อให้สอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง อีกทั้งเงินเฟ้อในตลาดที่อยู่ในระดับที่สูงขึ้นจึงเชื่อว่าแบงก์ชาติจะมีการขึ้นดอกเบี้ยอีกเพื่อชะลอเงินเฟ้อ โดยทางบลจ.ทหารไทยมองว่า จะเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องในตลอดช่วงปีนี้ โดยในส่วนของเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นนั้นเป็นผลมาจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นและอีกส่วนคือราคาอาหารที่เพิ่มขึ้นซึ่งจะส่งผลให้เงินเฟ้อในปีนี้สูงขึ้นได้อีก
"แม้อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นนั้นส่งผลดีให้เศรษฐกิจมีการเติบโตขึ้น แต่อาจจะเป็นการเติบโตที่ไม่ยั่งยืนเพราะ ประชาชนมีการใช้จ่ายมากขึ้นตามไปด้วย" นายธีระศันส์ กล่าว
ทั้งนี้ ในช่วงที่แบงก์ชาติเตรียมที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกนั้น ส่งผลให้การลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นในช่วง 1-2 เดือนนี้มีความน่าสนใจมาก โดยในส่วนของกองทุนกองทุนเปิดทหารไทยธนรัฐ ที่ลงทุนอยู่ในพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทยได้เตรียมพอร์ตการลงทุนสำหรับเข้าไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลทันทีหากอัตราดอกเบี้ยปรับขึ้น ดังนั้นกองทุนเปิดทหารไทยธนรัฐจึงน่าสนใจมากในระยะนี้ ขณะที่กองทุนตราสารหนี้ที่ยังน่าสนใจก็คือ กองทุนเปิดทหารไทยธนพลัสที่ยังให้ผลตอบแทนดีอย่างสม่ำเสมอ
นอกจากนี้ นายธีระศันส์ ยังแนะนำว่า ในช่วงที่ทิศทางของดอกเบี้ยเป็นขาขึ้นนั้น กองทุนตราสารหนี้ที่น่าลงทุนคือกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่สามารถให้ผลตอบแทนได้ในระดับประมาณ 3% ขณะที่ตราสารหนี้ระยะยาวยังไม่น่าลงทุน
ส่วนกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ อย่างกองทุนเปิดทหารไทย โกลบอล บอนด์ นั้น ในปีนี้เนื่องจากมีปัญหาในต่างประเทศ เช่น การประท้วงในหลายประเทศ ดังนั้นในปีนี้ความน่าสนใจอาจน้อยลงไปบ้างเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งผลตอบแทนอาจไม่สูงมากนัก
สำหรับกองทุนเปิดทหารไทยธนรัฐ ผลการดำเนินงาน ณ วันที่ 1 มีนาคม ที่ผ่านมา กองทุนให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 1.55% เทียบกับเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 0.83% และย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 1.44% เทียบกับเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 0.76%
นายธีระศันส์ ทุติยะโพธิ ผู้จัดการกองทุนอาวุโส ฝ่ายจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทหารไทย จำกัด กล่าวว่า ตลาดตราสารหนี้ในช่วงระยะ 1-2 สัปดาห์นี้กำลังรอดูความเคลื่อนไหวของทางแบงก์ชาติว่าจะกำหนดทิศทางอัตตราดอกเบี้ยเป็นอย่างไร ซึ่งมีแนวโน้มว่าทางแบงก์ชาติจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกประมาณ 0.25% เพื่อให้สอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง อีกทั้งเงินเฟ้อในตลาดที่อยู่ในระดับที่สูงขึ้นจึงเชื่อว่าแบงก์ชาติจะมีการขึ้นดอกเบี้ยอีกเพื่อชะลอเงินเฟ้อ โดยทางบลจ.ทหารไทยมองว่า จะเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องในตลอดช่วงปีนี้ โดยในส่วนของเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นนั้นเป็นผลมาจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นและอีกส่วนคือราคาอาหารที่เพิ่มขึ้นซึ่งจะส่งผลให้เงินเฟ้อในปีนี้สูงขึ้นได้อีก
"แม้อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นนั้นส่งผลดีให้เศรษฐกิจมีการเติบโตขึ้น แต่อาจจะเป็นการเติบโตที่ไม่ยั่งยืนเพราะ ประชาชนมีการใช้จ่ายมากขึ้นตามไปด้วย" นายธีระศันส์ กล่าว
ทั้งนี้ ในช่วงที่แบงก์ชาติเตรียมที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกนั้น ส่งผลให้การลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นในช่วง 1-2 เดือนนี้มีความน่าสนใจมาก โดยในส่วนของกองทุนกองทุนเปิดทหารไทยธนรัฐ ที่ลงทุนอยู่ในพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทยได้เตรียมพอร์ตการลงทุนสำหรับเข้าไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลทันทีหากอัตราดอกเบี้ยปรับขึ้น ดังนั้นกองทุนเปิดทหารไทยธนรัฐจึงน่าสนใจมากในระยะนี้ ขณะที่กองทุนตราสารหนี้ที่ยังน่าสนใจก็คือ กองทุนเปิดทหารไทยธนพลัสที่ยังให้ผลตอบแทนดีอย่างสม่ำเสมอ
นอกจากนี้ นายธีระศันส์ ยังแนะนำว่า ในช่วงที่ทิศทางของดอกเบี้ยเป็นขาขึ้นนั้น กองทุนตราสารหนี้ที่น่าลงทุนคือกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่สามารถให้ผลตอบแทนได้ในระดับประมาณ 3% ขณะที่ตราสารหนี้ระยะยาวยังไม่น่าลงทุน
ส่วนกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ อย่างกองทุนเปิดทหารไทย โกลบอล บอนด์ นั้น ในปีนี้เนื่องจากมีปัญหาในต่างประเทศ เช่น การประท้วงในหลายประเทศ ดังนั้นในปีนี้ความน่าสนใจอาจน้อยลงไปบ้างเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งผลตอบแทนอาจไม่สูงมากนัก
สำหรับกองทุนเปิดทหารไทยธนรัฐ ผลการดำเนินงาน ณ วันที่ 1 มีนาคม ที่ผ่านมา กองทุนให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 1.55% เทียบกับเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 0.83% และย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 1.44% เทียบกับเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 0.76%