"สำหรับกลยุทธ์ฟิวเจอร์สที่สามารถนำมาใช้กับกองทุนนั้น ส่วนมากจะนำมาใช้ในการลดความเสี่ยง(Hedging)จากหุ้น โดยขึ้นอยู่กับกลยุทธ์การบริหารของแต่ละบลจ.ว่าจะให้น้ำหนักการลงทุนในฟิวเจอร์สมากน้อยแค่ไหน และในช่วงเวลานั้นหรือสถานการณ์นั้น จะมีการลดสัดส่วนหรือเพิ่มสัดส่วนการลงทุนอย่างไร"
อย่างที่รู้กันอยู่ว่า “ฟิวเจอร์ส” หมายถึง สัญญา หรือข้อตกลงระหว่างบุคคล 2 ฝ่ายคือ “ผู้ซื้อ” กับ “ผู้ขาย” ในการตกลงที่จะซื้อ หรือขาย สินค้า หรือสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ โดยการตกลงซื้อขายดังกล่าวเป็นการตกลง ณ วันนี้ แต่ใช้ราคาในอนาคต และการส่งมอบสินค้าก็จะเกิดขึ้นในอนาคต
ในช่วงนี้ ข้อถกเถียงที่หลายๆฝ่ายกำลังโต้แย้งอยู่ว่าจะเกิดหรือไม่เกิดคงหนีไม่พ้นในเรื่องของ โกลด์ฟิวเจอร์ ขนาด 10 บาท ที่กำลังจะมีบทสรุปให้แก่นักลงทุนได้ทราบกันในเร็วๆนี้ ...การลงทุนในสินทรัพย์ประเภทนี้ก็อย่างที่รู้ๆกันอีกว่าสามารถทำให้เรามีโอกาสได้กำไรจากการลงทุนที่ค่อนข้างสูง แต่ในทางกลับกันก็สามารถทำให้เราขาดทุนได้สูงเช่นเดียวกัน ซึ่งเราจำเป็นที่จะต้องศึกษาข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับฟิวเจอร์ส กลยุทธ์การลงทุน สินทรัพย์ที่มีให้ลงทุน และที่สำคัญคือข้อดีและข้อเสียที่มีอยู่ว่ามีอะไรบ้าง ก่อนที่จะตัดสินใจเข้าไปลงทุนและสำหรับกองทุนรวมจะมีการนำกลยุทธ์ฟิวเจอร์สมาใช้อย่างไรกับกองทุนนั้นๆ
"พี่ติ๊ก" โชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด หรือ SCBAM บอกว่า ส่วนใหญ่บลจ.ต่างๆจะใช้ฟิวเจอร์สเข้ามาเป็นเครื่องมือในการบริหารพอร์ตการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่เป็นสมาร์ท (smart) ต่างๆ ซึ่งมีอยู่ในหลายๆบลจ.ด้วยกัน โดยเราเองก็มีกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวสมาร์ท (SCBLTS) ที่มีสัดส่วนการลงทุนในฟิวเจอร์ส และใช้ในการป้องกันความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้น โดยกองทุนดังกล่าวให้น้ำหนักการลงทุนระหว่างหุ้นและฟิวเจอร์สอยู่ที่ 70% ต่อ30%ของพอร์ตการลงทุน
“สำหรับ บลจ.ไทยพาณิชย์เองนั้นจะใช้ฟิวเจอร์สในการป้องกันความเสี่ยงและลดแรงกดดันของหุ้นจากการลงทุนมากกว่าการลงทุนเเบบซื้อๆขายๆฟิวเจอร์ส เพื่อทำกำไร หรือลงทุนในฟิวเจอร์สเชิงแอคทีฟ เรายังคงพอร์ตการลงทุนของกองทุนให้นิ่ง และให้น้ำหนักหุ้นอยู่ที่ 35% ของพอร์ตการลงทุน”
ทั้งนี้ มองว่าผลตอบแทนของบริษัทจดทะเบียนยังไม่เปลี่ยน อัตราดอกเบี้ยยังไม่ปรับตัวขึ้นเร็ว การลงทุนในฟิวเจอร์สสามารถที่จะสร้างผลตอบแทนให้แก่นักลงทุนได้ โดยหากดัชนีมีการปรับตัวลดลงไปอยู่ที่ 650 จุด 660-670 จุด ก็ถือว่าน่าสนใจที่จะเข้าทยอยเก็บ ซึ่งหากตลาดหุ้นปรับตัวไปอยู่ที่ 650 จุด พี/อีก็จะอยู่ที่ประมาณ 10 เท่าซื้อถือว่าถูกน่าเข้าไปลงทุน
"พี่เป๊ก" มนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บลจ. วรรณ จำกัด บอกว่า ในส่วนของกลยุทธ์ฟิวเจอร์สที่สามารถนำมาใช้กับกองทุนนั้น ส่วนมากจะนำมาใช้ในการลดความเสี่ยง(Hedging)จากหุ้น โดยจะช่วยให้กองทุนไม่ขาดทุน แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับกลยุทธ์การบริหารของแต่ละบลจ.ว่าจะให้น้ำหนักการลงทุนในฟิวเจอร์สมากน้อยแค่ไหน และในช่วงเวลานั้นหรือสถานการณ์นั้น จะมีการลดสัดส่วนหรือเพิ่มสัดส่วนการลงทุนอย่างไร จะมีการขายฟิวเจอร์สออกไปในสัดส่วนเท่าไหร่ด้วย
“สำหรับการนำฟิวเจอร์สเพื่อมาลดความเสี่ยงของกองทุนนั้นเรายังคงให้ความสำคัญเท่ากับกฏเกณฑ์ของภาครัฐ ”
ขณะเดียวกัน สำหรับ นักเล่นฟิวเจอร์สที่ไม่มีพอร์ตจริงการเข้าไปลงทุนในฟิวเจอร์สถือว่ามีความเสี่ยงสูง เพราะอย่างที่รู้ๆกันดีว่าการลงทุนในฟิวเจอร์สใช้เงินลงทุนเพียงบางส่วนเท่านั้น แต่สามารถที่จะทำกำไรให้แก่นักลงทุนได้สูง และก็จะสามารถทำให้นักลงทุนขาดทุนได้สูงเช่นเดียวกัน
ขณะที่ กองทุนเปิดวรรณเอเอ็มสมาร์ทหุ้นระยะยาว(1SMART-LTF) ซึ่งเป็นกองทุนที่นำกลยุทธ์ฟิวเจอร์สมาใช้นั้น จะเห็นได้ว่าในช่วงที่ตลาดหุ้นอยู่ในช่วงขาลงนั้น กองทุนของเรานั้นมีผลการดำเนินงานที่ดีมาก เพราะหากหุ้นตก 5-6% แต่กองทุนมีการป้องกันความเสี่ยงเอาไว้อย่างดี จะทำให้ผลการดำเนินงานของกองทุนตกเพียง 1-2%สูงสุด และสามารถสร้างผลตอบแทนได้ในช่วงตลาดขาลง ในทางกลับกันหากว่าตลาดหุ้นขึ้นผลการดำเนินงานของกองทุนจะไม่ขึ้นตามตลาดหุ้น จะเห็นได้ว่าการลงทุนในฟิวเจอร์สของกองทุนนั้นเพื่อนำมาลดความเสี่ยงจากการลงทุนในตลาดหุ้น
ชัยพฤกษ์ กุลกาญจนาธร ผู้จัดการกองทุน บลจ.วรรณ ผู้ดูแลกองทุนเปิด1SMART-LTF ได้กล่าวเสริมว่า การลงทุนในฟิวเจอร์สสำหรับกองทุนรวมนั้น ได้ติดข้อบังคับหลายๆอย่างจากทางคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยกองทุนจะต้องลงทุนหุ้นและฟิวเจอร์สในสัดส่วนไม่เกิน 100%ของมูลค่าทรัพย์สินของกองทุนนั้นๆ เช่น หากลงทุนในหุ้น 70 % กองทุนจะสามารถลงทุนในฟิวเจอร์สได้เพียง 30% และในแง่ที่ตลาดมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือที่เราๆเรียกกันอีกอย่างว่าตลาดขาขึ้น การลงทุนในตลาดหุ้นหรือในฟิวเจอร์สก็ไม่ได้มีความแตกต่างกัน โดยหากมีหุ้นแล้วนักลงทุนอาจจะทำการช๊อตฟิวเจอร์สเพื่อทำกำไรได้
ในทางกลับกันหากเป็นช่วงตลาดปรับตัวลดลงหรือตลาดขาลง กองทุนจะสามารถซื้อหุ้นได้ 50% และช๊อตฟิวเจอร์สได้ไม่ให้ต่ำกว่า 0% โดยจะเห็นได้ว่า ไม่ว่าตลาดจะเป็นขาขึ้นหรือขาลงก็ไม่สามารถที่จะทำกำไรได้ แต่จะช่วยในเรื่องของการลดสัดส่วนหุ้นให้ลงไปต่ำได้ หรือลดการขาดทุนได้
ด้านสัญญา หาญพัฒนกิจพานิช ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ทีมพัฒนาธุรกิจตลาดอนุพันธ์ บริษัทหลักทรัพย์(บล.)โกลเบล็ก เล่าให้เราฟังถึงการที่ได้พบปะพูดคุยกับนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนในฟิวเจอร์ส โดยพี่สัญญา บอกว่า นักลงทุนท่านนี้บอกพี่สัญญาว่า สำหรับการลงทุนในฟิวเจอร์สนั้น เราจะต้องกำหนดการลงทุนของตัวเราเองว่าจะลงทุนระยะยาวหรือลงทุนระยะสั้น ซึ่งส่วนใหญ่นักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในสินทรัพย์ประเภทนี้ จะเป็นการลงทุนระยะสั้นมากกว่า เนื่องจากว่าตลาดอนุพันธ์ (TFEX)ค่อนข้างที่จะผันผวน จากนั้นก็ให้เราหากรอบการลงทุนในตัวเองโดยเป็นกรอบแนวรับ แนวต้าน
"สัญญา" ได้ยกตัวอย่างคร่าวๆให้เราเข้าในได้ง่ายขึ้น และตอนนี้ นักลงทุนนิยมการลงทุนในทองคำ หรือโกลด์ฟิวเจอร์สกัน เช่น....
ราคาทองคำในขณะนี้ อยู่ที่ 1,100 เหรียญ และนักลงทุนมองว่าหลังจากนี้ทองคำจะเป็นช่วงขาขึ้นและมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 1,120 เหรียญ/ออนซ์ได้ นักลงทุนก็ทำการเข้าซื้อที่1,100 เหรียญ/ออนซ์ และเมื่อราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นไปตามที่ได้มีเรามองไว้ก็ให้นักลงทุนปิดสถานะการขาย ในทางกลับกันหากมองว่าแนวโน้มเป็นขาลงก็ให้นักลงทุนปิดสถานะการขายก่อนที่ราคาจะมีการปรับตัวลดลง และเข้าไปเก็บใหม่เมื่อราคามีการลดลงแล้ว แล้วสร้างแนวรับ แนวต้านใหม่ขึ้นมา ซึ่งนักลงทุนจะได้ผลตอบแทนในส่วนต่างของราคา
เขาบอกอีกว่า สำหรับ การลงทุนในฟิวเจอร์สนั้น มีสินทรัพย์ให้เลือกลงทุนด้วยกันหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น SET50 INDEX OPTIONS ,SET50 INDEX FUTURES หุ้นฟิวเจอร์ส(STOCK FUTURES )รายตัวอีก 14 ตัวด้วยกัน เช่น หุ้น ปตท. หุ้นกสิกร เป็นต้น และที่กำลังได้รับความนิยมจากนักลงทุนอยู่ในขณะนี้คือ ทองคำ หรือ โกลด์ฟิวเจอร์ส นั้นเอง
"ในการลงทุนในฟิวเจอร์สนั้น ขึ้นอยู่กับนักลงทุนแต่ละท่านว่ามีความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนชนิดนี้มากน้อยแค่ไหน และต้องรู้รู้ถึงข้อดีข้อเสียด้วย ที่สำคัญจะต้องคิดว่าการลงทุนในฟิวเจอร์สเหมาะสมกับตัวเองหรือไม่ ซึ่งนักลงทุนต้องรู้จักตนเอง รู้ด้วยว่าเรามีรายได้มากน้อยแค่ไหนและระยะเวลาในการลงทุนนั้นสามารถลงได้สั้นหรือยาว แล้วค่อยเลือกว่าเราจะลงทุนอะไรประเภทไหน "
และในฐานะที่คลุกคลีอยู่ในแวดวงนี้มานาน "สัญญา" บอกเราว่า เมื่อนักลงทุนรู้จักตัวเองแล้วว่าเหมาะสมหรือต้องการลงทุนในสินทรัพย์อะไรนั้น อยากแนะนำว่านักลงทุนไม่ควรที่จะลงทุนในสินทรัพย์เพียงอย่างใด อย่างหนึ่ง อยากให้กระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์หลายๆอย่าง แต่หากถามว่าควรให้น้ำหนักการลงทุนอย่างไรนั้น นักลงทุนจะต้องรู้ว่าตนเองนั้นสามารถรับความเสี่ยงจากการลงทุนได้มากน้อยแค่ไหนด้วยเช่นกัน ซึ่งหากรับความเสี่ยงได้เยอะก็อาจจะเลือกลงทุนในสินทรัพย์หรือตราสารที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นมากหน่อย แต่หากว่ารับความเสี่ยงจากการลงทุนได้น้อยนักลงทุนก็ควรที่จะให้น้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์หรือตราสารที่มีความเสี่ยงต่ำลงมาแทน