บลจ.อเบอร์ดีนเผย ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศไตรมาส 3 ดีขึ้น ขณะที่ดัชนีผู้บริโภคขึ้นเล็กน้อย ชี้ กรณีมาบตราพุดต่างชาติยังมั่นใจหากจบเร็ว จะไม่กระทบการลงทุนมากนัก
รายงานข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บลจ. อเบอร์ดีน จำกัด เปิดเผยถึงภาวะเศรษฐกิจไทยประจำเดือนธันวาคมว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยปรับตัวขึ้นในเดือนพฤศจิกายน แม้ว่าดัชนีที่ปรับขึ้นมาจะถูกลดทอนในช่วงปลายเดือน
เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้สินของรัฐดูไบ ขณะที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศประจำไตรมาสสามปรับตัวลดลง 2.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบระหว่างไตรมาส โดยมีแรงหนุนจากการเบิกจ่ายงบประมาณ
ทั้งนี้ ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมานั้น ดัชนีราคาผู้บริโภคปรับขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากฐานเปรียบเทียบในปีก่อนอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำกว่า อันเนื่องมาจากราคาพลังงานปรับลดลง ขณะที่การส่งออกลดลงน้อยที่สุดในรอบหนึ่งปี เนื่องจากอุปสงค์ฟื้นตัวขึ้นในกลุ่มสินค้าเกษตร อิเล็คทรอนิคส์ และยานยนต์
ส่วนปัจจัยด้านการเมือง คณะรัฐมนตรีอนุมัติแผนกู้เงินจากต่างชาติจำนวน 1.35 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ขณะที่ความตึงเครียดทางการเมืองลดระดับลงมาก
แต่การกระทบกระทั่งทางการทูตระหว่างไทยและกัมพูชาที่เกิดขึ้นหลังจากกัมพูชาแต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยเป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในไทยปรับลดลงเป็นครั้งแรกในรอบห้าเดือน
ส่วนภาวะของบริษัทต่างๆที่ บลจ.อเบอร์ดีนลงทุนอยู่นั้น พบว่า รายได้ในไตรมาสสามขององค์กรธุรกิจยังคงปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจประกันภัย สาธารณูปโภค และอิเล็คทรอนิคส์ ซึ่งออกมาดีกว่าการคาดการณ์
ขณะที่ทางด้านของภาคเอกชนนั้น บมจ. ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม ทำการดับไฟไหม้และน้ำมันรั่วที่เหมืองมอนทาราได้สำเร็จแล้ว แต่การซ่อมแซมคาดว่าจะกินเวลานาน 18 เดือน ขณะที่บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย ได้ตกลงจะลงทุนในโครงการศูนย์ ปิโตรเคมีครบวงจรในเวียดนามมูลค่า 4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯร่วมกับ กาตาร์ ปิโตรเลียม อินเตอร์เนชั่นแนล และหุ้นส่วนท้องถิ่น ส่วน บมจ. เซ็นทรัล พัฒนา อาจจะลงทุนในวงเงิน 1 พันล้านบาทในโครงการศูนย์การค้าแห่งหนึ่งในจีน
นายชัยเกษม วัฒนศิริพงษ์ หัวหน้าฝ่ายจัดจำหน่ายกองทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อเบอร์ดีน จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยแม้ว่าจะปรับตัวขึ้นมามากตามแนวโน้มของเศรษฐกิจที่ดีขึ้น แต่เนื่องจากราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมามากนั้นทำให้หุ้นไทยยังคงมีความเสี่ยงอยู่บ้าง รวมไปถึงเรื่องของมาบตาพุดด้วย ซึ่งหากไม่ยืดเยื้อออกไปมากก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อความมั่นใจของนักลงทุนต่างชาติมากแต่อย่างใด เนื่องจากราคาหุ้นในขณะนี้ยังสะท้อนให้เห็นว่ากรณีมาบตราพุดนั้นจะไม่ยืดเยื้อออกไปนาน
