ภาวะการลงทุนหุ้นในปัจจุบันค่อนข้างมีความผันผวน แต่มีสินทรัพย์ทางเลือกที่น่าสนใจมาให้เลือกลงทุนมากมายและหลากหลายกว่าเดิม โดยก่อนหน้านี้นักลงทุนจะคุ้นชินกับการลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ และเงินฝากธนาคารพาณิชย์เท่านั้น เพราะว่านักลงทุนส่วนใหญ่สามารถยอมรับความเสี่ยงได้ต่ำ จึงนิยมลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำไปด้วย เข้าข่ายกับคำภาษาอังกฤษที่ว่า "high risk high retern" นั่นเอง วันนี้ "ทีมงาน ASTVผู้จัดการกองทุนรวม" ขอพาไปพบกับมุมมองการลงทุนในหุ้น และสินทรัพย์ทางเลือกอย่างเพชรว่าจะมีความน่าสนใจ และข้อดีข้อด้อยตรงไหนบ้าง รวมทั้งยังมีการนำสินทรัพย์ที่มีค่าอย่างทองคำมาเปรียบเทียบกันด้วย
การเสวนา "จับชีพจรเศรษฐกิจปี 53 กูรูเพชรปะทะเซียนหุ้น" ที่จัดขึ้นโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) วรรณ จำกัด ในช่วงกลางสัปดาห์ทมี่ผ่านมา โดยนายชาญวิทย์ หิรัญอัศว์ นายกสมาคมค้าเพชร กล่าวว่า เพชรตามสถานการณ์ของตลาดนั้นมีความเกี่ยวข้องกับภาวะเศรษฐกิจเช่นกัน แต่เพชรเป็นสินค้าเครื่องประดับที่ดี เมื่อมีงานแต่งงาน คนทั่วไปมักจะนึกถึงแหวนหมั้น ซึ่งเพชรในสภาพกว้างแล้วยังอยู่ในมือของยักษ์ใหญ่เพียง 3 – 4 รายเท่านั้น เช่น บริษัทเดอเบียร์ที่มีปริมาณเพชรอยู่ในสต๊อกประมาณ 70% ของทั่วโลก ดังนั้น เมื่อภาวะเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงจึงสามารถควบคุมราคาได้ และเมื่อภาวะเศรษฐกิจไม่ดีก็จะมีการเก้บสต๊อกเอาไว้แทน เพื่อไม่ให้ปริมาณสินค้าออกมามาก ทำให้ราคาปรับลดลงไปได้ แต่เมื่อภาวะเศรษฐกิจดีขึ้นก็จะกลับมาปล่อยสินค้าออกมาให้ราคาปรับเพิ่มขึ้นไป
สำหรับตลาดเพชรจะขึ้นอยู่กับผู้ค้ามากราย แต่สต๊อกจะน้อยราย โดย 30% ที่เหลือจะอยู่ในยุโรป รัสเซีย และทั่วไป ขณะที่ราคาทองคำจะปรับขึ้นไปตามภาวะเศรษฐกิจโลก เพราะทุกคนไม่ต้องการเก็บเงินสดเอาไว้ในมือ จึงต้องการหาแหล่งพักเงินอื่น ประกอบกับการที่ค่าเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง จึงย้ายกลับมาลงทุนในทองคำ และเพชรบ้างแทน โดยราคาทองคำจะมีมาตรฐานของทั่วโลก และตลาดทั่วไป มีความเป็นสากล ส่วนราคาเพชร ด้วยความที่มีสต๊อกน้อยรายจึงสามารถควบคุมราคาได้
อย่างไรก็ตาม ราคาเพชรอาจจะมีการปรับลดลงได้บ้าง แต่ไม่นานมากก้จะปรับขึ้นมาอีกครั้งได้ เหมือนทองคำ ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วราคาเพชรจะปรับขึ้นไปประมาณ 15%ต่อปี แม้ว่าในระหว่างปีจะมีการปรับลดลงมาบ้างก็ตาม แต่ในที่สุดแล้วจะสามารถปรับขึ้นกลับไปได้อย่างเร็วที่สุด หากเปรียบเทียบกันแล้วเงินสดจะมีมูลค่าลดลงไป แต่เพชรจะค่อนข้างคงที่มากกว่า
ทั้งนี้ เพชรจะมีการโค๊ดราคาตามตลาดโลก โดยขึ้นอยู่กับเกรดของเพชร สี และคุณภาพเป็นสำคัญ และควรเลือกเพชรเม็ดใหญตั้งแต่ 0.5 กะรัตขึ้นไป เพราะว่าจะมีสภาพคล่องสูง ซึ่งในปัจจุบันเพชรค่อนข้างหายากแล้ว มีเพียงพอกับความต้องการ ขณะที่ทองคำเมื่อขุดมาแล้วสามรถนำไปหลอมรวมกันได้
นายชาญวิทย์ กล่าวว่า ราคาในประเทศไทยจะมีการประกาศราคากลางทุกวันศุกร์ ที่สามารถนำมาอ้างอิงได้ แต่ราคาเพชรยังขึ้นอยุ่กับความต้องการของตลาดด้วย หากมีความต้องการมากก้จะทำให้ราคาเพชรปรับขึ้น 10 – 20% จากราคาเดิม หากความต้องการน้อยราคาเพชรก้จะปรับลดลงไปบ้างเช่นกัน โดยเหมืองเพชรในปัจจุบันส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณประเทศในแถวบแอฟริกา ส่วนในประเทสไทยเคยพบที่จังหวัดภูเก็ต แต่ปริมาณไม่มาก
ในปัจจุบัน ทองคำมีการซื้อขายมาก โดยราคาทองคำในตลาดโลกปรับขึ้นไปทุกวัน นักลงทุนส่วนใหญ่จึงหันกลับมาลงทุนในทองคำ เพื่อเก็งกำไร เพราะว่าทองคำขายง่าย และมีตลาดรองรับไม่เหมือนกับเพชร แต่เพชรหากมีการซื้อเอาไว้ ก้จะสามารถนำมาใช้เป้นเครื่องประดับได้ มีมูลค่า และช่วยส่งเสริมให้บุคลิกดีขึ้น หากมีการซื้อเพชรประมาณ 100 – 200 ล้านบาท ยังสามารถนำมาไว้ในกระเป๋าได้ หากเกิดภาวะสงครามขึ้นมา ภายหลังจากเหถุตการณ์ดังกล่าวสามรถนำมาใช้เพื่อตั้งตัวได้ ขณะที่ทองคำหากจะซื้อประมาณ 100 – 200 ล้านบาท จะไม่สามารถนำเอาไปด้วยได้ ต้องเก้บไว้ที่บ้านเท่านั้น
ทั้งนิ้ มองว่าราคาทองคำในปัจจุบันค่อนข้างสูงมาก แต่ในช่วงที่ผ่านมาราคาก็ยังสามารถปรับขึ้นไปได้ทุกวันเช่นกัน หากนักลงุทนเข้าไปซื้ออาจจะได้กำไรก็ได้ แต่ยังมีปัจจัยอื่นที่เข้ามากระทบอย่างเช่นกองทุนทองคำที่อาจจะมีการโยกย้ายเงินไปมาแล้วอาจจะทำการขายทิ้งออกมา เพราะว่ามีข้อมูลมากมาก ไม่เหมือนกับนักลงทุนทั่วไป โดยนักลงทุนอาจจะประสบกับเหตุการณ์ดังกล่าวก็ได้ ระดับราคาในปัจจุบันนับว่าค่อนข้างสูงมากแล้ว ทำให้เมื่อนักลงทุนเข้าไปซื้อเก็งกำไรจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นด้วย
นายเผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า หากนักลงทุนเชื่อว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ยังเติบโตขึ้น คาดว่าจากนี้ไปจนถึงไตรมาสแรกของปี 2553 ดัชนีหุ้นจะปรับตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป และยังสามารถปรับขึ้นไปได้เรื่อยๆ โดยจะใช้วิธีคำนวณจากส่วนลดจากเงินปันผล ซึ่งบริษัทส่วนใหญ่มีการใช้วิธีคำนวณจากพีอี ทั้งที่หุ้นในประเทศไทยมีการจ่ายเงินปันผลสูงอยู่ในลำดับต้นๆ ของโลก โดยจากการคำนวณวิธีแรกระดับดัชนีในช่วงต้นปี 2553 จะอยู่ 735 จุด และในช่วงปลายปี 2553 จะอยู่ที่ 760 จุด
ขณะเดียวกัน แต่หากมีการนำการโยกย้ายของเงินทุนไหลมา จากการคาดการณ์ว่าในข่วง 6 เดือนข้างหน้า ค่าเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐจะอ่อนค่าลง ซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้จะทำให้เม็ดเงินจะไหลมายังภูมิภาคเอเชีย ยุโรป และสหรัฐอเมิกาตามลำดับ และจากการค่าเงินสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ทำให้พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐจะให้ผลตอบแทนน้อยลงไปด้วย นักลงทุนจึงจะหันไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ อาทิ ทองคำ แทน
นอกจากนี้ หากว่าปกติแล้วในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจขาขึ้นดัชนีหุ้นสามารถปรับขึ้นได้มากกว่า 16% และในในช่วงที่ผ่านมา ดัชนีขึ้นไปสูงสุดที่ 758 จุด และมีการพักฐานที่ 13% หรือที่ระดับ 660 จุด ขณะเดียวกัน จากการวิเคราะห์พบว่านักลงทุนต่างชาติมีต้นทุนหุ้นโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 610 จุด โดยนักลงทุนจะไม่ขายทำกำไรหากได้กำไรน้อยกว่า 7% หรือที่ 682 จุด ดังนั้น จากปัจจัยพื้นฐานแล้วเชื่อว่าดัชนีตลาดหุ้นในปี 2553 น่าจะอยู่ในระดับ 650 – 800 จุด ยกเว้นภาวะเศรษฐกิจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน และเกิดโรคระบาด โดยในปัจจุบันมีอัพไซส์ไม่มากนักจากระดับ 700 – 800 จุด การเลือกซื้อหุ้นจึงต้องเลือกมากขึ้น ไม่เหมือนในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคมที่ผ่านมา ที่ซื้อหุ้นตัวไหนก็ปรับขึ้น
นายเผดิมภพ กล่าวว่า หุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความน่าสนใจ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน หากนักลงทุนที่สามารถยอมรับความเสี่ยงจากการลงทุนได้ไม่มาก ซึ่งอุตสาหกรรมที่ยังไม่ปรับขึ้นเท่ากับภาวะเศรษฐกิจ และคาดว่าจะสามารถได้รับอัตราผลตอบแทนในระดับ 7% ขึ้นไป เช่น บริษัท โรงไฟฟ้าราชบุรี จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH บริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ EASTW บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิสต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ที่ต้องการซื้อเพื่อรับเงินปันผลเท่านั้น ไม่ใช่ติดหุ้น แล้วจึงมาถามเรื่องปันผลในภายหลัง
ขณะเดียวกัน หากภาวะเศรษฐกิจไม่เติบโตอย่างที่คาดการณ์ และเม็ดเงินไม่ไหลมา โดยที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงงาน และธนาคารพาณิชย์เป็นหลัก และมีการเทขายออกไปจนหมด และหุ้นในกลุ่มที่ยังสามารถทำกำไรได้ เช่น หุ้นในกลุ่มกระเบื้อง 4 – 5 ตัว กลุ่มธุรกิจการเกษตรและวัสดุก่อสร้าง เช่น บริษัท ล่ำสูง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ LST บริษัท ไดนาสตี้เซรามิค จำกัด (มหาชน) หรือ DCC บริษัท สหโมเสคอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ UMI หุ้นในกลุ่มดังกล่าวยังสามารถทำกำไรได้ดีเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2550
การเสวนา "จับชีพจรเศรษฐกิจปี 53 กูรูเพชรปะทะเซียนหุ้น" ที่จัดขึ้นโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) วรรณ จำกัด ในช่วงกลางสัปดาห์ทมี่ผ่านมา โดยนายชาญวิทย์ หิรัญอัศว์ นายกสมาคมค้าเพชร กล่าวว่า เพชรตามสถานการณ์ของตลาดนั้นมีความเกี่ยวข้องกับภาวะเศรษฐกิจเช่นกัน แต่เพชรเป็นสินค้าเครื่องประดับที่ดี เมื่อมีงานแต่งงาน คนทั่วไปมักจะนึกถึงแหวนหมั้น ซึ่งเพชรในสภาพกว้างแล้วยังอยู่ในมือของยักษ์ใหญ่เพียง 3 – 4 รายเท่านั้น เช่น บริษัทเดอเบียร์ที่มีปริมาณเพชรอยู่ในสต๊อกประมาณ 70% ของทั่วโลก ดังนั้น เมื่อภาวะเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงจึงสามารถควบคุมราคาได้ และเมื่อภาวะเศรษฐกิจไม่ดีก็จะมีการเก้บสต๊อกเอาไว้แทน เพื่อไม่ให้ปริมาณสินค้าออกมามาก ทำให้ราคาปรับลดลงไปได้ แต่เมื่อภาวะเศรษฐกิจดีขึ้นก็จะกลับมาปล่อยสินค้าออกมาให้ราคาปรับเพิ่มขึ้นไป
สำหรับตลาดเพชรจะขึ้นอยู่กับผู้ค้ามากราย แต่สต๊อกจะน้อยราย โดย 30% ที่เหลือจะอยู่ในยุโรป รัสเซีย และทั่วไป ขณะที่ราคาทองคำจะปรับขึ้นไปตามภาวะเศรษฐกิจโลก เพราะทุกคนไม่ต้องการเก็บเงินสดเอาไว้ในมือ จึงต้องการหาแหล่งพักเงินอื่น ประกอบกับการที่ค่าเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง จึงย้ายกลับมาลงทุนในทองคำ และเพชรบ้างแทน โดยราคาทองคำจะมีมาตรฐานของทั่วโลก และตลาดทั่วไป มีความเป็นสากล ส่วนราคาเพชร ด้วยความที่มีสต๊อกน้อยรายจึงสามารถควบคุมราคาได้
อย่างไรก็ตาม ราคาเพชรอาจจะมีการปรับลดลงได้บ้าง แต่ไม่นานมากก้จะปรับขึ้นมาอีกครั้งได้ เหมือนทองคำ ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วราคาเพชรจะปรับขึ้นไปประมาณ 15%ต่อปี แม้ว่าในระหว่างปีจะมีการปรับลดลงมาบ้างก็ตาม แต่ในที่สุดแล้วจะสามารถปรับขึ้นกลับไปได้อย่างเร็วที่สุด หากเปรียบเทียบกันแล้วเงินสดจะมีมูลค่าลดลงไป แต่เพชรจะค่อนข้างคงที่มากกว่า
ทั้งนี้ เพชรจะมีการโค๊ดราคาตามตลาดโลก โดยขึ้นอยู่กับเกรดของเพชร สี และคุณภาพเป็นสำคัญ และควรเลือกเพชรเม็ดใหญตั้งแต่ 0.5 กะรัตขึ้นไป เพราะว่าจะมีสภาพคล่องสูง ซึ่งในปัจจุบันเพชรค่อนข้างหายากแล้ว มีเพียงพอกับความต้องการ ขณะที่ทองคำเมื่อขุดมาแล้วสามรถนำไปหลอมรวมกันได้
นายชาญวิทย์ กล่าวว่า ราคาในประเทศไทยจะมีการประกาศราคากลางทุกวันศุกร์ ที่สามารถนำมาอ้างอิงได้ แต่ราคาเพชรยังขึ้นอยุ่กับความต้องการของตลาดด้วย หากมีความต้องการมากก้จะทำให้ราคาเพชรปรับขึ้น 10 – 20% จากราคาเดิม หากความต้องการน้อยราคาเพชรก้จะปรับลดลงไปบ้างเช่นกัน โดยเหมืองเพชรในปัจจุบันส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณประเทศในแถวบแอฟริกา ส่วนในประเทสไทยเคยพบที่จังหวัดภูเก็ต แต่ปริมาณไม่มาก
ในปัจจุบัน ทองคำมีการซื้อขายมาก โดยราคาทองคำในตลาดโลกปรับขึ้นไปทุกวัน นักลงทุนส่วนใหญ่จึงหันกลับมาลงทุนในทองคำ เพื่อเก็งกำไร เพราะว่าทองคำขายง่าย และมีตลาดรองรับไม่เหมือนกับเพชร แต่เพชรหากมีการซื้อเอาไว้ ก้จะสามารถนำมาใช้เป้นเครื่องประดับได้ มีมูลค่า และช่วยส่งเสริมให้บุคลิกดีขึ้น หากมีการซื้อเพชรประมาณ 100 – 200 ล้านบาท ยังสามารถนำมาไว้ในกระเป๋าได้ หากเกิดภาวะสงครามขึ้นมา ภายหลังจากเหถุตการณ์ดังกล่าวสามรถนำมาใช้เพื่อตั้งตัวได้ ขณะที่ทองคำหากจะซื้อประมาณ 100 – 200 ล้านบาท จะไม่สามารถนำเอาไปด้วยได้ ต้องเก้บไว้ที่บ้านเท่านั้น
ทั้งนิ้ มองว่าราคาทองคำในปัจจุบันค่อนข้างสูงมาก แต่ในช่วงที่ผ่านมาราคาก็ยังสามารถปรับขึ้นไปได้ทุกวันเช่นกัน หากนักลงุทนเข้าไปซื้ออาจจะได้กำไรก็ได้ แต่ยังมีปัจจัยอื่นที่เข้ามากระทบอย่างเช่นกองทุนทองคำที่อาจจะมีการโยกย้ายเงินไปมาแล้วอาจจะทำการขายทิ้งออกมา เพราะว่ามีข้อมูลมากมาก ไม่เหมือนกับนักลงทุนทั่วไป โดยนักลงทุนอาจจะประสบกับเหตุการณ์ดังกล่าวก็ได้ ระดับราคาในปัจจุบันนับว่าค่อนข้างสูงมากแล้ว ทำให้เมื่อนักลงทุนเข้าไปซื้อเก็งกำไรจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นด้วย
นายเผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า หากนักลงทุนเชื่อว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ยังเติบโตขึ้น คาดว่าจากนี้ไปจนถึงไตรมาสแรกของปี 2553 ดัชนีหุ้นจะปรับตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป และยังสามารถปรับขึ้นไปได้เรื่อยๆ โดยจะใช้วิธีคำนวณจากส่วนลดจากเงินปันผล ซึ่งบริษัทส่วนใหญ่มีการใช้วิธีคำนวณจากพีอี ทั้งที่หุ้นในประเทศไทยมีการจ่ายเงินปันผลสูงอยู่ในลำดับต้นๆ ของโลก โดยจากการคำนวณวิธีแรกระดับดัชนีในช่วงต้นปี 2553 จะอยู่ 735 จุด และในช่วงปลายปี 2553 จะอยู่ที่ 760 จุด
ขณะเดียวกัน แต่หากมีการนำการโยกย้ายของเงินทุนไหลมา จากการคาดการณ์ว่าในข่วง 6 เดือนข้างหน้า ค่าเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐจะอ่อนค่าลง ซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้จะทำให้เม็ดเงินจะไหลมายังภูมิภาคเอเชีย ยุโรป และสหรัฐอเมิกาตามลำดับ และจากการค่าเงินสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ทำให้พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐจะให้ผลตอบแทนน้อยลงไปด้วย นักลงทุนจึงจะหันไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ อาทิ ทองคำ แทน
นอกจากนี้ หากว่าปกติแล้วในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจขาขึ้นดัชนีหุ้นสามารถปรับขึ้นได้มากกว่า 16% และในในช่วงที่ผ่านมา ดัชนีขึ้นไปสูงสุดที่ 758 จุด และมีการพักฐานที่ 13% หรือที่ระดับ 660 จุด ขณะเดียวกัน จากการวิเคราะห์พบว่านักลงทุนต่างชาติมีต้นทุนหุ้นโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 610 จุด โดยนักลงทุนจะไม่ขายทำกำไรหากได้กำไรน้อยกว่า 7% หรือที่ 682 จุด ดังนั้น จากปัจจัยพื้นฐานแล้วเชื่อว่าดัชนีตลาดหุ้นในปี 2553 น่าจะอยู่ในระดับ 650 – 800 จุด ยกเว้นภาวะเศรษฐกิจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน และเกิดโรคระบาด โดยในปัจจุบันมีอัพไซส์ไม่มากนักจากระดับ 700 – 800 จุด การเลือกซื้อหุ้นจึงต้องเลือกมากขึ้น ไม่เหมือนในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคมที่ผ่านมา ที่ซื้อหุ้นตัวไหนก็ปรับขึ้น
นายเผดิมภพ กล่าวว่า หุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความน่าสนใจ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน หากนักลงทุนที่สามารถยอมรับความเสี่ยงจากการลงทุนได้ไม่มาก ซึ่งอุตสาหกรรมที่ยังไม่ปรับขึ้นเท่ากับภาวะเศรษฐกิจ และคาดว่าจะสามารถได้รับอัตราผลตอบแทนในระดับ 7% ขึ้นไป เช่น บริษัท โรงไฟฟ้าราชบุรี จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH บริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ EASTW บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิสต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ที่ต้องการซื้อเพื่อรับเงินปันผลเท่านั้น ไม่ใช่ติดหุ้น แล้วจึงมาถามเรื่องปันผลในภายหลัง
ขณะเดียวกัน หากภาวะเศรษฐกิจไม่เติบโตอย่างที่คาดการณ์ และเม็ดเงินไม่ไหลมา โดยที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงงาน และธนาคารพาณิชย์เป็นหลัก และมีการเทขายออกไปจนหมด และหุ้นในกลุ่มที่ยังสามารถทำกำไรได้ เช่น หุ้นในกลุ่มกระเบื้อง 4 – 5 ตัว กลุ่มธุรกิจการเกษตรและวัสดุก่อสร้าง เช่น บริษัท ล่ำสูง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ LST บริษัท ไดนาสตี้เซรามิค จำกัด (มหาชน) หรือ DCC บริษัท สหโมเสคอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ UMI หุ้นในกลุ่มดังกล่าวยังสามารถทำกำไรได้ดีเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2550