xs
xsm
sm
md
lg

MFCหวังปีหน้าสึนามิฟันด์ฟื้น ส่งผู้จัดการกองทุนให้คำปรึกษาถึงที่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


บลจ.เอ็มเอฟซีรับ วิกฤตเศรษฐกิจกระทบท่องเที่ยว ฉุดยอดเข้าพักโรงแรมในกองทุนสึนามิฟันด์หด 10-20% แต่ยังลุ้นปีหน้าปรับตัวดีขึ้น ด้านเอนเนอร์จี ฟันด์ ต้องเลื่อนแผนลงทุน 2 บริษัท ล่าสุด เปิดตัว "กองทุนไทยสร้างสรรค์" หนุนธุรกิจสร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจ คาดผลตอบแทนไม่ต่ำกว้า 20%

นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซี เปิดเผยว่า บริษัทได้ส่งผู้จัดการกองทุนลงไปช่วยให้คำปรึกษาผู้ประกอบการที่กองทุนเปิดเพื่อพัฒนาและฟื้นฟูกิจการที่ได้รับผลกระทบจากสึนามิ (Tsunami Recovery Fund) ให้ความช่วยเหลืออยู่ หลังจากที่ต้องเผชิญกับวิกฟติรอบสองจากวิกฤติเศรษฐกิจที่ผ่านมา ทั้งที่กำลังเริ่มฟื้นตัวจากภัยสึนามิขึ้นมาแล้ว โดยคาดว่าในปีนี้อัตราการเข้าพักในช่วงฤดูท่องเที่ยวจะลดลงจากช่วงปกติประมาณ 10-20% โดยปกติในฤดูท่องเที่ยวอัตราการเข้าพักจะสูงประมาณ 90% แต่ในปีนี้ ผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจรวมทั้งปัจจัยการเมืองในประเทศ น่าจะทำให้อัตราเข้าพักลดลงเหลือประมาณ 70% แต่ก็ยังเป็นระดับที่ผู้ประกอบการสามารถประคองธุรกิจของตัวเองได้ โดยบริษัทคาดว่าสถานการณ์ของธุรกิจท่องเที่ยวน่าจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นในปีหน้าเป็นต้นไป
ทั้งนี้ ในปีหน้าจะเป็นปีสุดท้ายที่เราคิดอัตราดอกเบี้ย 1% กับทางผู้ประกอบการท่องเที่ยว หลังจากนั้นจะปรับขึ้นเป็นอัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี (MLR) ตามปกติ แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำอยู่ดี ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยบวกต่อผู้ประกอบการท่องเที่ยวที่กองทุนสึนามิให้ความช่วยเหลือ
ในส่วนของกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี เอนเนอร์จี ฟันด์ (MFC Energy Fund) นายพิชิตกล่าวว่า ปัจจุบันกองทุนได้ทยอยลงทุนไปแล้วประมาณ 800 ล้านบาท หรือประมาณ 1 ใน 3 ของมูลค่าโครงการที่ 2,500 ล้านบาท แต่ยังเหลือระยะเวลาลงทุนอีก 3 ปี ซึ่งคาดว่าจะสามารถลงทุนได้ครบตามที่ตั้งใจไว้อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม จากผลกระทบที่เกิดขึ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจในปีนี้ ส่งผลให้แผนการลงทุนเพิ่มใน 2 บริษัทที่ผ่านการคัดเลือกต้องชะลอออกไปก่อน โดยในปีหน้าเชื่อว่าจะสามารถกลับไปลงทุนได้อีกครั้ง
ล่าสุด บริษัทได้เปิดตัวกองทุนไทยสร้างสรรค์ (Thailand Creativity Fund) มูลค่า 800 ล้านบาท อายุโครงการ 7 ปี ซึ่งกองทุนดังกล่าวระดมทุนจากสถาบันการเงินภาครัฐ เพื่อการลงทุนโดยตรง (Direct Investment) ในตราสารทุน ตราสารหนี้ หรือตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน ของบริษัทที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์เป็นทุนในการดำเนินธุรกิจ การผลิตหรือการบริการ โดยกองทุนดังกล่าวจะช่วยสนับสนุน และเข้าไปช่วยขยายฐานให้กับธุรกิจโดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ที่ต้องการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าให้มีศักยภาพและมีโอกาสเจริญเติบโตขึ้นในอนาคต รวมทั้งสามารถก้าวเข้าสู่การส่งออกและสร้างศักยภาพในการแข่งขันในตลาดโลกได้ ซึ่งการเข้าไปร่วมลงทุนจะเป็นการลงทุนในธุรกิจที่มีผลการดำเนินงานอยู่ก่อนแล้ว(Track Record)
โดยลักษณะของการลงทุนจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ในช่วง 4 ปีแรกจะเป็นช่วงของการลงทุน และในช่วง 3 ปีหลังจะเป็นช่วงของการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการลงทุน ทั้งนี้ เมื่อครบอายุโครงการ 7 ปี ผู้ลงทุนสามารถลงมติเพื่อขอขยายระยะเวลาการลงทุนต่อไปได้อีก 2 ปี ทั้งนี้ คาดว่าผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ของกองทุนดังกล่าวจะอยู่ที่อัตราไม่ต่ำกว่า 20% ซึ่งในเบื้องต้น บริษัทได้ร่วมลงทุนกับ 2 บริษัทแรก ประกอบด้วย บริษัท เอ.แอล.ที. อินเตอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด และบริษัท พาโนรามา ซอย อิ้งค์ จำกัด
"กองทุนไทยสร้างสรรค์ นอกจากจะเป็นทางเลือกใหม่ของการลงทุนเพื่อผู้ลงทุนสถาบันแล้ว การจัดตั้งกองทุนไทยสร้างสรรค์ ยังมีส่วนช่วยสนับสนุนนโยบายภาครัฐที่ต้องการให้แนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์เป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโต และสามารถแข่งขันกับนานาอารยประเทศได้ ซึ่งนโยบายการลงทุนของ บลจ.เอ็มเอฟซี นอกจากจะมุ่งเน้นในการสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนแล้ว ยังมีนโยบายจะสร้างประโยชน์และการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนให้กับประเทศชาติเช่นเดียวกัน"นายพิชิตกล่าว
นายพิชิตกล่าวว่า สำหรับเป้าหมายสินทรัพย์สุทธิภายใต้การบริหาร (AUM) ในปีนี้ที่ตั้งไว้ 2.6 แสนล้านบาทนั้น บริษัทน่าจะทำได้ใกล้เคียงกับเป้าที่ตั้งไว้ ซึ่งเป็นผลมาจากการะดมทุนเพิ่มประกอบกับราคาหลักทรัพย์ที่ปรับตัวขึ้นมาทั้ง 2 ส่วนรวมกัน แต่ในแง่ของกำไรนั้นถือว่าทุกอย่างเป็นไปตามเป้า คือน่าจะเติบโตจากปีก่อนประมาณ 15-20% ซึ่งล่าสุดบริษัทก็ได้เข้าไปบริหารให้กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ในส่วนของกองทุนหุ้นเพิ่มเติม 1,200 ล้านบาท การที่บริษัททำในเรื่องของ Private Equity และการบริหารกองทุนที่หลากหลายทำให้รายได้ของบริษัทเติบโตค่อนข้างดี
ด้านนายศุภกร สุนทรกิจ รองกรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซี กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยโดยพื้นฐานไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงมาก ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไตรมาสที่3/52 ก็ออกมาค่อนข้างดี ตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ ในต่างประเทศที่ออกมาก็เป็นไปตามที่ตลาดคาดไว้เป็นส่วนใหญ่ แต่ตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลงในช่วงที่ผ่านมาเป็นผลจากปัจจัยเสี่ยงภายในของไทยเองทั้งข่าวลือ ทั้งการเมืองในประเทศและการเมืองระหว่างประเทศ แต่ปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติได้หยุดขายหุ้นไทยแล้ว ดังนั้น โอกาสที่ตลาดหุ้นจะลงแรงไปกว่านี้คงมีน้อยลงและในส่วนของนักลงทุนต่างชาติที่ลงทุนระยะยาวยังน่าจะลงทุนในหุ้นไทยอยู่ต่อเนื่อง โดยยังมองว่าตลาดหุ้นไทยสิ้นปีน่าจะเคลื่อนไหวในระดับ 730-750 จุด ได้ แต่ที่สำคัญตอนนี้ตลาดหุ้นไทยต้องพยายามกลับขึ้นมายืนอยู่เหนือระดับ 700 จุดให้ได้ก่อน โดยต้องหวังว่าการเมืองระหว่างประเทศจะไม่ลุกลามขยายวงไปมากกว่านี้เพราะถึงจุดนั้นก็ประเมินยากเช่นเดียวกัน เพราะอาจจะกระทบต่อความมั่นใจของนักลงทุนต่างประเทศได้เช่นกัน
กำลังโหลดความคิดเห็น