xs
xsm
sm
md
lg

ตามติดราคาทอง 1เดือนกับการแกว่งตัวขาขึ้น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เพิ่งปั่นรายงานเรื่องราคาทองคำไปหมาดๆ เมื่อช่วงเดือนที่ผ่านมาแต่คาดว่าคงจะอีกนานกว่าจะกลับมาจับเรื่องนี้อีก เพราะราคาในช่วงนั้นจำได้ว่าเป็นประมาณ วันที่ 9 เดือน 9 ปี 2009 การลงทุนในทองคำได้รับความสนใจเป็นพิเศษ เนื่องจากราคาในขณะนั้นได้ปรับตัวสุงขึ้นจนแตะระดับ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์เป็นหลัก และราคาทองคำ ตลาดค้าทองฮ่องกงอยู่ในระดับ 1,001.00-1002.00 ดอลลาร์/ออนซ์

ขณะที่ ราคาทองคำภายในประเทศนั้น ทองคำแท่งรับซื้อที่ 15,850 บาท ขายที่ 1,5950 บาท ส่วนทองรูปพรรณรับซื้อที่ราคา 15,614.80 บาท ขายที่ 16,350 บาท

มาวันนี้ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันของเดือนก่อน ราคากลับปรับตัวขึ้นมาอีก โดยราคาทองคำ ตลาดค้าทองฮ่องกงปิดตลาดวันพฤหัสบดี (8 ต.ค. 2552) ที่ระดับ 1,055.40 -1,056.40 ดอลลาร์/ออนซ์ ราคาปรับเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับปิดตลาดเมื่อวันพุธ (7 ต.ค. 2552) ที่ระดับ 1,042 -1,043 ดอลลาร์/ออนซ์ เปิดตลาดเช้านี้อยู่ที่ระดับ 1,049.50 -1,050.50 ดอลลาร์/ออนซ์

ส่วนราคาทองคำในประเทศ ล่าสุดรูปพรรณทะยานเกือบแตะบาทละ 17,000 บาท หลังราคาทองในตลาดโลกพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ ซึ่งราคาทอง (ประกาศโดยสมาคมค้าทองคำเวลาประมาณ 15.00 น.)(ทองคำ 96.5%) ประจำวันที่ 8 ตุลาคม 2552 มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นกว่า 100 บาท โดยราคาทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 16,450 ขายออกบาทละ16,550 ทองรูปพรรณรับซื้อบาทละ16,206ขายออกบาทละ 16,950 บาท

สุดยอดจริงสำหรับการปรับตัวของราคาทองคำ เพราะว่ากันว่าตั้งแต่ต้นปีมานี้การลงทุนในทองคำสามารถสร้างผลตอบแทนไปแล้วถึงกว่า 18% และก็ต้องตีอกชกหัวกันไปสำหรับคนที่พลาดโอกาส แต่เชื่อว่าการลงทุนในทองคำที่ผ่านมาคนไทยให้ความสนใจเพิ่มมากขึ้นแน่นอน
นายธีรนาถ รุจิเมธาภาส
นายธีรนาถ รุจิเมธาภาส กรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ทิสโก้ จำกัด พูดถึงเรื่องนี้ว่า ในช่วงนี้การลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนในน้ำมันดิบและทองคำ กำลังได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนมาก อาจจะเป็นเพราะเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่คนไทยรู้จักกันดี และมีข้อมูลข่าวสารให้ติดตามได้ใกล้ชิดโดยเฉพาะในขณะนี้ที่ผู้ลงทุนคาดการณ์ขยายตัวทางเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะในประเทศจีนและอินเดียที่น่าจะเพิ่มขึ้นในระดับสูงต่อไป

ทั้งนี้ การลงทุนในกองทุนรวมสินค้าโภคภัณฑ์นั้นมีความน่าสนใจมากขึ้นเพราะปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันว่า การลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ อาทิเช่น ทองคำ น้ำมันดิบ ถ่านหิน หรือแม้แต่สินค้าเกษตร นั้นเป็นทางเลือกหนึ่งในการลงทุนที่ช่วยเพิ่มผลตอบแทนให้กับผู้ลงทุนได้เป็นอย่างดี และจากการศึกษาพบว่าโดยส่วนใหญ่แล้ว การแกว่งตัวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์หลายอย่างมิได้เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับการปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงของราคาหุ้นหรือตราสารหนี้ ดังนั้นผู้ลงทุนอาจจุใช้สินค้าโภคภัณฑ์เป็นเครื่องมือการลงทุนอีกแบบหนึ่งที่ช่วยกระจายความเสี่ยงในการลงทุนออกไปจากตลาดหุ้น จึงนับได้ว่าการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์มีความน่าสนใจมากขึ้นสำหรับการจัดสรรเงินลงทุนในยุคใหม่ โดยสำหรับผู้ลงทุนที่สนใจจะลงทุนในน้ำมันดิบ ทองคำ หรือสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ ก็สามารถเข้ามาลงทุนผ่านกองทุนรวมต่างๆ ที่ตั้งขึ้นมาโดยมีนโยบายนำเงินกองทุนไปลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์เหล่านั้นได้ไม่ยาก

เท่ากับว่าคนไทยรู้เรื่องการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะน้ำมันกับทองคำพอสมควร เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจที่คุ้นเคยกับนักลงทุนไทยมากที่สุด

แล้วเมื่อสถาการณ์เป็นเช่นในอนาคตการลงทุนในทองคำจะเป็นอย่างไร และสินค้าโภคภัณฑ์ที่ว่าจะดีจริงหรือไม่นั้น

นายธีรนาถ พูดถึงเรื่องนี้อีกว่า จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 2553 หรือปีหน้ากำลังจะมาถึง ดังนั้นจึงเชื่อได้ว่าความต้องการใช้สินค้าโภคภัณฑ์น่าจะเพิ่มมากขึ้นโดยอาจจะส่งผลดีต่อราคาของสินค้าโภคภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิต ซึ่งได้แก่ น้ำมันและถ่านหิน เป็นต้น

ส่วนทองคำถึงแม้ที่ผ่านมาราคาทองคำได้มีการปรับตัวสูงขึ้นเกือบถึงราคาสูงสุดที่เคยเกิดขึ้นในอดีตแล้ว แต่ผุ้ลงทุนอาจจะมองในประเด็นที่ว่าราคาทองคำมักจะแกว่งตัวไม่รุนแรงและอาจจะปรับตัวเพิ่มได้หากการขยายตัวของประเทศเกิดใหม่ทำให้ความต้องการซื้อทองมีมากขึ้น และการที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯมีแนวดน้มที่จะอ่อนค่าในระยะยาว ก็จะเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองจึงทำให้เมื่อราคาทองอ่อนตัวลงมาก็จะมีผู้สนใจลงทุนทยอยต่อไป

สรุปสุดท้ายแล้วทองคำก็ยังเป็นที่สนใจของนักลงทุน เพราะเห็นได้ว่าตอนที่ราคาทองคำบูมๆ นั้น เหตุการณ์ที่พบเห็นบ่อยๆ ก็คือการต่อแถวซื้อทองคำที่ถนนเยาวราช จนถึงขนาดต้องออกใบจองให้เห็นบ่อยครั้งไป

ส่วนความเหมาะสมว่าพอร์ตของแต่ละคนควรจะมีสินทรัพย์ประเภทนี้เอาไว้มากน้อยขนาดไหนนั้น กรรการผู้จัดการบลจ.ทิสโก้ บอกว่า เนื่องจากราคาของสินค้าโภคภัณฑ์มีการแกว่งตัวเพิ่มขึ้นและลดลงได้ไม่ต่างจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงของราคาหุ้น หรือจะกล่าวง่ายๆ ว่าการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ไม่ว่าจะโดยตรงหรือผ่านกองทุนรวมที่กล่าวไป ก็มีความเสี่ยงที่ราคาหรือมูลค่าหน่วยลงทุนจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้เช่นกัน ดังนั้นผู้ลงทุนควร จัดสรรเงินลงทุนที่เป็นเงินลงทุนระยะยาวมาลงทุนประมาณร้อยละ 10 ถึง 20 ของมูลค่าเงินลงทุน ก็น่าจะเพียงพอครับและควรเป็นเงินลงทุนระยะยาวเพื่อจะได้ไม่ต้องกังวลใจกับความผันผวนในระยะสั้นๆ

นอกจากนี้เนื่องจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในครั้งนี้เป็นการฟื้นตัวจากสภาวะถดถอยที่มาจากวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจที่รุนแรงที่สุดอีกครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเงินโลก ดังนั้น ผู้ลงทุนจึงยังคงมีความระมัดระวังและต้องคอยติดตามว่ามาตรการณ์ต่างๆ ที่รัฐบาลกลางทั่วโลกนำมาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศตนว่าจะสัมฤทธิผลมากน้อยเพียงใด และจะเพียงพอที่จะก่อให้เกิดการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของโลกต่อเนื่องไปอีกได้หรือไม่ ทำให้ในระยะเวลาอันใกล้เราก็จะยังคงเห็นความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่อาจจะปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ตามตัวเลขชี้นำทางเศรษฐกิจที่มีการประกาศออกมา
กำลังโหลดความคิดเห็น