บลจ.กรุงไทย ยิ้มรับเอยูเอ็มโตเกินเป้า 2.2 เเสนล้านบาทเเล้ว เดินหน้าขยับเป้าหมายใหม่ ขยายตัว 20% มั่นใจอีก 5 เดือนไม่มีปัญหา เเม้ธนาคาร เอกชนและภาครัฐ แข่งระดมเงินออม ล่าสุด เตรียมส่งกองทุน FIF ลุยหุ้นต่างประเทศสิ้นไตรมาส 3 ดักรอเศรษฐกิจโลกฟื้น
นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีหลังจากนี้ เรามองว่าการเเข่งขันทางธุรกิจกองทุนรวมจะค่อนข้างลำบากกว่าครึ่งปีที่ผ่านมา เนื่องจากสถาบันการเงินเริ่มที่จะดึงลูกค้าเงินฝากด้วยการให้ผลตอบเเทนที่จูงใจ ประกอบกับภาคเอกชนเริ่มระดมทุนด้วยการออกหุ้นกู้กันมากขึ้น ขณะเดียวกันรัฐบาลเเละธนาคารเเห่งประเทศไทย (ธปท.)ก็หันมาระดมทุนด้วยการออกพันธบัตรด้วยเช่นกันทำให้มีการเเข่งขันกันมากขึ้น
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันบลจ.กรุงไทยมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ หรือ (AUM) เติบโตขึ้นเป็น 220,000 ล้านบาท เกินเป้าหมายที่เราวางไว้ โดยก่อนหน้านี้เราวางเป้าสินทรัพย์ฯว่าจะโตประมาณ 15% ทั้งปี เเต่ตอนนี้เราได้เพิ่มเป้า AUM อีก 5% ในช่วง 5 เดือนที่เหลือ ซึ่งทั้งปี AUM จะอยู่ที่ประมาณ 20%
โดยในช่วงครึ่งปีที่เหลือนี้ เราจะส่งกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศที่ให้ผลตอบเเทนใกล้เคียงกับผลตอบเเทนกองทุนพันธบัตรเกาหลี ซึ่งน่าจะเปิดขายได้ในช่วงเดือนกันยายน โดยที่ผ่านมาผลตอบเเทนของกองทุนพันธบัตรเกาหลีเริ่มน้อยลง นอกจากนี้ เรายังมีกองทุนรวมต่างประเทศ (FIF) ที่จะลงทุนในหุ้นเฉพาะกลุ่มอีก 1 กองทุนให้นักลงทุนได้เลือกลงทุนอีกด้วย
ขณะที่ความคืบหน้าการจัดตั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์โรงเเรมที่จังหวัดเชียงใหม่ เเละจังหวัดภูเก็ตนั้น กำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาอยู่ ซึ่งที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวรวมถึงปัจจัยทางการเมือง ที่ทำให้นักท่องเที่ยวยุติหรือเปลี่ยนไปท่องเที่ยวประเทศอื่นเเทน อย่างไรก็ตาม หากธุรกิจการท่องเที่ยวดีขึ้น โครงการจัดตั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์โรงเเรมทั้ง 2 เเห่งน่าจะเปิดให้มีการระดมทุนได้ในเร็วๆนี้
สำหรับกองทุนเปิดเคเเทม เวิลด์ เอ็นเนอร์จี ฟันด์ เเละกองทุนเปิดเเคเเทม อินวิสเมนท์ เลเจนด์ ฟันด์ นั้นได้รับผลตอบรับที่จากนักลงทุนค่อนข้างมาก โดยกองทุน เปิดเเคเเทม อินวิสเมนท์ เลเจนด์ ฟันด์จะลงทุนในสินทรัพย์ประเภทตราสารทุน และสินค้าโภคภัณฑ์ (คอมมอดิตี) ที่ล้วนปรับตัวสูงขึ้นจากการคาดหวังว่าเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวในระดับหนึ่ง
โดยเราประเมินว่า แนวโน้มตลาดหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์ในช่วงครึ่งปีหลัง จะได้รับผลดีจากการที่เศรษฐกิจโลกจะเริ่มฟื้นตัวได้ในปลายปี 2552 ถึงต้นปี 2553 อันเป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลทั่วโลก ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจโลกนั้นได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว อย่างไรก็ตาม อัตราผลตอบแทนอาจผันผวนในระยะสั้น เนื่องจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอยู่ในขณะนี้ ยังมีความเปราะบาง และอาจมีแรงเทขายทำกำไรในระยะสั้นจากราคาที่ปรับตัวสูงขึ้นอีกด้วย