xs
xsm
sm
md
lg

"อินเดีย"...ยักษ์ตัวที่สองของเอเชีย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เรียกได้ว่า เริ่มดีขึ้นเป็นลำดับสำหรับเศรษฐกิจโลกที่โดนวิกฤตไป โดยมีการมองกันแล้วว่าขณะนี้เศณษฐกิจโลกได้ผ่านจุดตํ่าสุดไปแล้ว และไม่น่าที่จะยํ่าแย่ลงไปมากกว่านี้ ผลที่ตามมาทำให้ ตลาดหุ้นทั่วโลกรวมทั้งภูมิภาคเอเชีย ปรับตัวเพิ่มอย่างมากไม่ว่าจะเป็นใน ฮ่องกง ญี่ปุ่น รวมถึง ไทยด้วย ซึ่งเป็นผลมาจากความมั่นใจของนักลงทุนที่เริ่มมองการลงทุนระยะยาวไปถึงปีหน้ากันแล้ว

เมื่อพูดถึงการลงทุนในภูมิภาคเอเชียแล้ว ถ้าไม่พูดถึง 2 ยักษ์ใหญ่ อย่าง แดนภารตะประเทศอินเดีย กับ ดินแดนหมีแพนด้าประเทศจีน ก็คงไม่ได้ เพราะ 2 ประเทศนี้น่าสนใจมากในเรื่องของการลงทุนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ด้วยเหตุผลในเรื่องของอัตราการติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงในแต่ละปี โดยประเทศจีนนั้นเราทราบถึงเรื่องราวความเลคื่อนไหวไปมากแล้วว่า ดินแดนมังกร นี้มีความน่าสนใจขนาดไหน เรื่องราวในวันนี้เราจึงไปดูประเทศอินเดียกันบ้างว่า หลังจากวิกฤตเศรษฐกิจเริ่มมีทิศทางที่ดีนั้นอินเดีย กลับมามีความน่าสนใจนาดไปไหน

บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ จำกัด รายงานภาวะเศรษฐกิจของประเทศอินเดียว่า จากชัยชนะในการเลือกตั้งของพรรคคองเกรสของอินเดียส่งผลให้ตลาดหุ้นอินเดีย ปรับตัวขึ้นกว่า 17% ในวันที่ 18 พ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นอย่างแรงจนส่งผลให้ตลาดต้องหยุดทำการซื้อขายในช่วงหลังของวันเลยทีเดียว โดยสาเหตุที่ผลการเลือกตั้งส่งให้ตลาดหุ้นอินเดียปรับตัวขึ้นขนาดนี้ น่าจะเป็นเพราะนักลงทุนทั่วโลกต่างมองว่าการกลับมาของรัฐบาลภายใต้การนำท่านผู้นำ มานโมฮัน ซิงห์ ซึ่งเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่มีความรู้ความสามารถสูง ผู้ซึ่งเคยแสดงฝีมือกอบกู้เศรษฐกิจอินเดียที่ถดถอยให้กลับรุ่งโรจน์มาแล้วในอดีต จนได้รับขนานนามว่าเป็น "บิดาแห่งการปฏิรูปเศรษฐกิจอินเดีย" (The Architect of India in Economic Reforms) ย่อมเป็นผลดีต่อการสานต่อนโยบายภาครัฐ เช่น การปรับปรุงระบบสาธารณูปโภคของประเทศผ่านการใช้จ่ายภาครัฐที่ชะงักไปในช่วงก่อนการเลือกตั้ง ซึ่งโครงการเหล่านี้ย่อมส่งผลต่อการเติบโตของภาพรวมเศรษฐกิจอินเดียในระยะยาว ในขณะที่การได้ที่นั่งเพิ่มขึ้นอย่างมากในสภาย่อมจะส่งผลให้การดำเนินนโยบายต่างๆเป็นไปได้อย่างราบรื่นและรวดเร็วยิ่งขึ้น

ไม่เพียงเท่านั้น ในแง่ valuation เมื่อเปรียบเทียบราคาหุ้นอินเดียในวันนี้กับราคาในอดีตก็ถือยังไม่แพง โดยปัจจุบันมีการซื้อขายกันที่ P/E ประมาณ 15-16 เท่า ลดลงจากระดับประมาณ 20-35 เท่าในช่วงปี 2005-2007 ซึ่งเป็นช่วงที่อินเดียมีการเติบโตอย่างมาก การลงทุนในหุ้นอินเดียในวันนี้จึงน่าจะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเพราะยังมีระดับราคาที่ไม่แพง และมีอนาคตการเติบโตที่ดี

เมื่อเปรียบเทียบข้อมูลย้อนหลังไปถึงปี 2003 ระหว่างดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของโลก (1) ดัชนีหุ้นเอเชียแปซิฟิกไม่รวมประเทศญี่ปุ่น(2) และดัชนีตลาดหุ้นอินเดีย(3) จะพบว่าในระยะเวลาการลงทุนที่เท่ากัน แม้ดัชนีหุ้นอินเดียจะมีความผันผวนของราคาสูงกว่าอีกสองดัชนีข้างต้น แต่ดัชนีหุ้นอินเดียก็สามารถสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ลงทุนได้ถึง 283% ในขณะที่หุ้นเอเชียแปซิฟิกไม่รวมประเทศญี่ปุ่นสร้างผลตอบแทน 116% และหุ้นโลกสร้างผลตอบแทนได้เพียง 24% เท่านั้น ดังนั้นหากท่านเป็นนักลงทุนที่เน้นสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในระยะยาวและสามารถรับความผันผวนของการเปลี่ยนแปลงของราคาในระยะสั้นได้ หุ้นอินเดียก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าจะสร้างผลตอบแทนได้ดีทีเดียว

พิชา รัตนธรรม หัวหน้าธุรกิจกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล ของ บลจ. ทิสโก้ จำกัด ก็บอกกับนักลงทุนทั้งหลายว่า การเข้าลงทุนในประเทศจีนและอินเดียขณะนี้นับเป็นช่วงเวลาที่จังหวะเหมาะมากที่สุด เนื่องจากเป็นสองประเทศในเอเชียที่ยังมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และเป็นประเทศแรกๆ ในเอเชียที่เริ่มส่งสัญญาณการฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัด ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าตั้งแต่ต้นปีผลการดำเนินงานของกองทุนปรับตัวขึ้นมาแล้วกว่า 33% ซึ่งถือว่าเป็นการส่งสัญญาณที่ดีและเชื่อว่าหุ้นของทั้งสองประเทศน่าจะมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นั้นเป็นมุมมองจากผู้บริหารกองทุนรวม ที่บริหารกองทุนที่ลงทุนในอินเดียและประเทศจีนอยู่ ขณะที่สถาบันการเงินในต่างประเทศอย่าง ธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด และยูบีเอส เอจี ก็ได้ออกมาคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจของแดนภารตะนั้น จะฟื้นตัวขึ้นเนื่องจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะช่วยกระตุ้นตัวเลขการใช้จ่ายและกระตุ้นนักลงทุนต่างชาติให้กลับเข้าลงทุน โดยบอกว่า อินเดียซึ่งมีระบบเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของเอเชียจะขยายตัวขึ้น 6.2% ในปีนี้ เมื่อเทียบกับที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าขยายตัวเพียง 5.2% หลังจากธนาคารกลางอินเดียปรับลดอัตราดอกเบี้ยแล้วหลายครั้งในระยะเวลาไม่กี่เดือน และยังบอกด้วยว่า อินเดียจะได้รับปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นการคลังที่อาจหนุนตัวเลขจีดีพีโตขึ้นเกือบ 7% โดยเฉพาะเมื่อนักลงทุนขานรับชัยชนะในการเลือกตั้งของพรรคคองเกรส ซึ่งทำให้นายมานโมฮัน ซิงห์ รั้งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอินเดียอีกสมัย

เป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจสำหรับประเทศเกิดใหม่อย่างอินเดีย 1 ในประเทศกลุ่มบริค ที่นักลงทุนทั่วโลกต่างมองว่าสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวได้ เมื่อเห็นความเคลื่อนไหวที่เป็นไปในทิศทางที่ดีอย่างนี้แล้ว เชื่อว่านักลงทุนทั้งหลายที่กำลังปรับพอร์ตการลงทุนไปลงทุนในต่างประเทศคง ต้องเลือกลงทุนในอินเดียควบคู่ไปกับจีนด้วยเป็นแน่แท้...


กำลังโหลดความคิดเห็น