สำหรับผู้ลงทุนที่เริ่มวางแผนว่าจะลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เพื่อได้รับสิทธิประโยชน์ในการหักลดหย่อนภาษี ควรศึกษารายละเอียดและเงื่อนไขการลงทุนใน LTF และ RMF ซึ่งมีความแตกต่างกันไป
**ช่วยลดภาษีได้อย่างไร?**
กองทุนรวมหุ้นระยะยาว : เงื่อนไขการลงทุน สูงสุดไม่เกิน 15% ของเงินได้และไม่เกิน 500,000 บาท ไม่กำหนดยอดเงินลงทุนขั้นต่ำ
กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ : เงื่อนไขการลงทุน สูงสุดไม่เกิน 15% ของเงินได้และเมื่อรวมกับเงินจ่ายสมทบเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือเงินสะสมเข้า กบข. ไม่เกิน 500,000 บาท ขั้นต่ำ 3% ของรายได้ หรือ 5,000 บาท (แล้วแต่ว่าจำนวนใดจะต่ำกว่า)
โดยยอดเงินที่ลงทุนสามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีรวมกันสูงสุดถึง 1,000,000 บาท (หากปฏิบัติตามเงื่อนไขของกรมสรรพากร)
ลดหย่อนภาษีได้เหมือนกันแล้วต่างกันอย่างไร?
กองทุนรวมหุ้นระยะยาว : มีนโยบายลงทุนในหุ้นเป็นหลัก และไม่จำเป็นต้องลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยแต่ละยอดที่ลงทุนต้องถือไว้ 5 ปีปฏิทิน โดยสามารถขายคืนได้ทุกวันทำการตั้งแต่ 15 ธันวาคม 2551 (โปรดตรวจสอบกับบลจ. ที่ท่านลงทุน)
กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ : มีหลายนโยบายการลงทุนให้เลือก แต่ผู้ลงทุนต้องลงทุนอย่างต่อเนื่อง จนถึงอายุ 55 ปี และถือหน่วยลงทุนไว้ไม่น้อยกว่า 5 ปี และสามารถขายคืนได้ทุกวันทำการเช่นกัน
...ต้องบอกว่าในช่วง 2–3 ปีที่ผ่านมา กองทุน LTF เป็นกองทุนรวมที่มีการเจริญเติบโตสูงที่สุดประเภทหนึ่ง เนื่องจากผลประโยชน์ทางด้านภาษีที่ได้รับจากการลงทุนควบคู่กับผลตอบแทน แต่เนื่องจากวิกฤตการณ์ด้านการเงินในสหรัฐส่งผลกระทบต่อดัชนีและราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทำให้ราคาหุ้นลดลงเป็นอย่างมาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เล็งเห็นปัญหาดังกล่าว จึงได้พิจารณาอนุญาตให้กองทุนรวม LTF เปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนสามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้ โดยไม่ติดข้อจำกัดการขายคืนตามระยะเวลาการรับซื้อคืนหน่วยลงทุน ซึ่งเดิมกำหนดไว้ไม่เกินปีละ 2 ครั้งอีกต่อไป โดยเกณฑ์ใหม่จะมีผลตั้งแต่วันที่ 15 ธ.ค. 2551 เป็นต้นไป
และเพื่อให้สอดคล้องกับประกาศสำนักงาน ก.ล.ต. เรื่องการยกเลิกกำหนดระยะเวลาในการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนสำหรับกองทุนรวมหุ้นระยะยาว และเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผู้ลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อเบอร์ดีน จำกัด ในฐานะผู้จัดตั้งและจัดการกองทุนเปิด อเบอร์ดีนหุ้นระยะยาว (ABLTF) จึงได้ประกาศเปลี่ยนแปลงระยะเวลารับซื้อคืนหน่วยลงทุน โดยผู้ลงทุนสามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการ เริ่มตั้งแต่ 1 เมษายน 2552 เป็นต้นไป แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงระยะเวลาในการรับซื้อคืนหน่วยลงทุน และการสับเปลี่ยนออกของกองทุนดังกล่าว แต่ในส่วนของเงื่อนไขการลงทุนและสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามหลักเกณฑ์ของกรมสรรพากรยังคงเป็นเช่นเดิม โดยผู้ลงทุนยังต้องถือหน่วยลงทุนที่ได้ซื้อไว้ในแต่ละครั้งต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปีปฏิทินของเงินลงทุนในแต่ละก้อน จึงจะสามารถขายคืนได้โดยไม่ผิดไปจากเงื่อนไขการลงทุนที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี
ขณะเดียวกัน เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ผู้ถือหน่วยลงทุนเริ่มวางแผนการลงทุนตั้งแต่ต้นปี บลจ. อเบอร์ดีน ได้จัดโปรโมชั่นสำหรับกองทุนเปิด อเบอร์ดีน หุ้นระยะยาว (ABLTF) กองทุนเปิด อเบอร์ดีน สมาร์ทแคปปิตอล เพื่อการเลี้ยงชีพ (ABSC-RMF) และกองทุนเปิด อเบอร์ดีน สมาร์ทอินคัม เพื่อการเลี้ยงชีพ (ABSI-RMF) โดยผู้ลงทุนสามารถลงทุนสะสมได้ทั้งปี เพื่อมีสิทธิได้รับบัตรกำนัลเซ็นทรัลสูงสุดถึง 2,500 บาท (เป็นไปตามเงื่อนไขของบริษัท)
ผู้ลงทุนที่สนใจซื้อหน่วยลงทุนกองทุนรวมหุ้นระยะยาวและกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพของบลจ.อเบอร์ดีน สามารถติดต่อและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่แผนกลูกค้าสัมพันธ์ โทร. 0-2352-3333 หรือ www.aberdeen-asset.co.th
**การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและคู่มือภาษีก่อนการตัดสินใจลงทุน**
**ช่วยลดภาษีได้อย่างไร?**
กองทุนรวมหุ้นระยะยาว : เงื่อนไขการลงทุน สูงสุดไม่เกิน 15% ของเงินได้และไม่เกิน 500,000 บาท ไม่กำหนดยอดเงินลงทุนขั้นต่ำ
กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ : เงื่อนไขการลงทุน สูงสุดไม่เกิน 15% ของเงินได้และเมื่อรวมกับเงินจ่ายสมทบเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือเงินสะสมเข้า กบข. ไม่เกิน 500,000 บาท ขั้นต่ำ 3% ของรายได้ หรือ 5,000 บาท (แล้วแต่ว่าจำนวนใดจะต่ำกว่า)
โดยยอดเงินที่ลงทุนสามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีรวมกันสูงสุดถึง 1,000,000 บาท (หากปฏิบัติตามเงื่อนไขของกรมสรรพากร)
ลดหย่อนภาษีได้เหมือนกันแล้วต่างกันอย่างไร?
กองทุนรวมหุ้นระยะยาว : มีนโยบายลงทุนในหุ้นเป็นหลัก และไม่จำเป็นต้องลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยแต่ละยอดที่ลงทุนต้องถือไว้ 5 ปีปฏิทิน โดยสามารถขายคืนได้ทุกวันทำการตั้งแต่ 15 ธันวาคม 2551 (โปรดตรวจสอบกับบลจ. ที่ท่านลงทุน)
กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ : มีหลายนโยบายการลงทุนให้เลือก แต่ผู้ลงทุนต้องลงทุนอย่างต่อเนื่อง จนถึงอายุ 55 ปี และถือหน่วยลงทุนไว้ไม่น้อยกว่า 5 ปี และสามารถขายคืนได้ทุกวันทำการเช่นกัน
...ต้องบอกว่าในช่วง 2–3 ปีที่ผ่านมา กองทุน LTF เป็นกองทุนรวมที่มีการเจริญเติบโตสูงที่สุดประเภทหนึ่ง เนื่องจากผลประโยชน์ทางด้านภาษีที่ได้รับจากการลงทุนควบคู่กับผลตอบแทน แต่เนื่องจากวิกฤตการณ์ด้านการเงินในสหรัฐส่งผลกระทบต่อดัชนีและราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทำให้ราคาหุ้นลดลงเป็นอย่างมาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เล็งเห็นปัญหาดังกล่าว จึงได้พิจารณาอนุญาตให้กองทุนรวม LTF เปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนสามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้ โดยไม่ติดข้อจำกัดการขายคืนตามระยะเวลาการรับซื้อคืนหน่วยลงทุน ซึ่งเดิมกำหนดไว้ไม่เกินปีละ 2 ครั้งอีกต่อไป โดยเกณฑ์ใหม่จะมีผลตั้งแต่วันที่ 15 ธ.ค. 2551 เป็นต้นไป
และเพื่อให้สอดคล้องกับประกาศสำนักงาน ก.ล.ต. เรื่องการยกเลิกกำหนดระยะเวลาในการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนสำหรับกองทุนรวมหุ้นระยะยาว และเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผู้ลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อเบอร์ดีน จำกัด ในฐานะผู้จัดตั้งและจัดการกองทุนเปิด อเบอร์ดีนหุ้นระยะยาว (ABLTF) จึงได้ประกาศเปลี่ยนแปลงระยะเวลารับซื้อคืนหน่วยลงทุน โดยผู้ลงทุนสามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการ เริ่มตั้งแต่ 1 เมษายน 2552 เป็นต้นไป แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงระยะเวลาในการรับซื้อคืนหน่วยลงทุน และการสับเปลี่ยนออกของกองทุนดังกล่าว แต่ในส่วนของเงื่อนไขการลงทุนและสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามหลักเกณฑ์ของกรมสรรพากรยังคงเป็นเช่นเดิม โดยผู้ลงทุนยังต้องถือหน่วยลงทุนที่ได้ซื้อไว้ในแต่ละครั้งต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปีปฏิทินของเงินลงทุนในแต่ละก้อน จึงจะสามารถขายคืนได้โดยไม่ผิดไปจากเงื่อนไขการลงทุนที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี
ขณะเดียวกัน เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ผู้ถือหน่วยลงทุนเริ่มวางแผนการลงทุนตั้งแต่ต้นปี บลจ. อเบอร์ดีน ได้จัดโปรโมชั่นสำหรับกองทุนเปิด อเบอร์ดีน หุ้นระยะยาว (ABLTF) กองทุนเปิด อเบอร์ดีน สมาร์ทแคปปิตอล เพื่อการเลี้ยงชีพ (ABSC-RMF) และกองทุนเปิด อเบอร์ดีน สมาร์ทอินคัม เพื่อการเลี้ยงชีพ (ABSI-RMF) โดยผู้ลงทุนสามารถลงทุนสะสมได้ทั้งปี เพื่อมีสิทธิได้รับบัตรกำนัลเซ็นทรัลสูงสุดถึง 2,500 บาท (เป็นไปตามเงื่อนไขของบริษัท)
ผู้ลงทุนที่สนใจซื้อหน่วยลงทุนกองทุนรวมหุ้นระยะยาวและกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพของบลจ.อเบอร์ดีน สามารถติดต่อและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่แผนกลูกค้าสัมพันธ์ โทร. 0-2352-3333 หรือ www.aberdeen-asset.co.th
**การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและคู่มือภาษีก่อนการตัดสินใจลงทุน**