ASTVผู้จัดการรายวัน - บลจ. พร้อมใจออกกองทุนตราสารหนี้ เอาใจนักลงทุนช่วงดอกเบี้ยลด "ไทยพาณิชย์" สานต่อกองทุนบอนด์อิตาลี ขยับอายุสั้นลงเป็น 5 เดือน ให้ผลตอบแทน 1.15% ชี้อาร์/พีขยับลงอีก ดันส่วนต่างในประเทศเพิ่มขึ้น ด้าน "กสิกรไทย" เป็นปลื้ม พันธบัตรอิตาลีกองแรก ตอบรับเกินคาด โกยยอดขายกว่า 1,294.45 ล้านบาท ขณะที่ "ทิสโก้" คลอด "ทิสโก้ สเปเชี่ยล พลัส 11" หาผลตอบแทนจากหุ้นกู้เอกชนคุณภาพดี
นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลัทกรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้เปิดขายกองทุนเปิดไทยพาณิชย์พันธบัตรอิตาลี 6M2 (SCBIBF6M2) มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท โดยกองทุนดังกล่าวมีอายุโครงการประมาณ 5 เดือน ซึ่งเน้นลงทุนในพันธบัตรหรือตราสารภาครัฐของประเทศอิตาลีในตลาดรอง โดยได้เปิดขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) และครั้งเดียวตั้งแต่วันที่ 8 – 16 เมษายน 2552 และคาดว่าจะสามารถให้ผลตอบแทนที่ประมาณ 1.15% ต่อปี
ทั้งนี้ ในปัจจุบัน พันธบัตรหรือตราสารภาครัฐของประเทศอิตาลีมีอุปทานค่อนข้างน้อย คาดว่าจะสามารถออกกองทุนใหม่ที่เน้นลงทุนในพันธบัตรหรือตราสารภาครัฐของประเทศอิตาลีได้อย่างมากที่สุดเพียงกองเดียวเท่านั้น สำหรับผลการระดมทุนของกองทุนประเภทเดียวกันที่ออกไปก่อนหน้านี้ ได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์พันธบัตรอิตาลี IBF2Y1 (SCBIBF2Y1) สามารถระดมทุนได้ประมาณ 1,000 ล้านบาท ส่วนกองทุนเปิดไทยพาณิชย์พันธบัตรอิตาลี IBF3M1 (SCBIBF3M1) สามารถระดมทุนได้ 800 ล้านบาท และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์พันธบัตรอิตาลี 6M1 (SCBIBF6M1) สามารถระดมทุนได้ประมาณ 1,800 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน บริษัทเตรียมมองหาการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศทุกภูมิภาคทั่วโลกที่มีความน่าสนใจ และสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าในประเทศไทย และไม่มีความเสี่ยงมากนัก ซึ่งจะดูผลตอบแทนของตราสารหนี้ในทุกช่วงอายุมาเปรียบเทียบกับผลตอบแทนของประเทศไทย หากสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าก็นำมาออกกองทุนต่อไป ส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ของประเทศเกาหลีใต้นั้น บริษัทไม่สนใจไปลงทุน เนื่องจากเกาหลีใต้มีค่า Credit Default Swap (CDS) สูงถึง 360 ขณะที่ประไทยมีเพียง 200 กว่าเท่านั้น
นางโชติกา กล่าวว่า ภายหลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงไปอีก 0.25% ส่งผลให้ผลตอบแทนของตราสารหนี้ของอิตาลีห่างออกไปอีก ซึ่งนับว่าเป็นผลดีต่อกองทุนอิตาลี และทำให้มีผลตอบรับที่ค่อนข้างดีจากนักลงทุน ซึ่งนักลงทุนควรล็อกผลตอบแทนไว้ เนื่องจากกองทุนนี้จะสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินฝาก และธนาคารพาณิชย์มีแนวโน้มจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลงอีกเช่นกัน
นายนคร ตามไท ผู้บริหารฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า กองทุน เปิดเค พันธบัตรอิตาลี 3 เดือน เอ (KITG3MA) ซึ่งบริษัทได้เสนอขายไปเมื่อวันที่ 1 – 7 เมษายน ที่ผ่านมา ได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนเป็นอย่างมาก โดยสามารถระดมทุนได้ถึง 1,294.45 ล้านบาท ทำให้เชื่อมั่นว่ากองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ ยังเป็นทางเลือกในการลงทุน สำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำและมีโอกาสรับผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก
ทั้งนี้ การตอบรับกองทุนเปิดเค พันธบัตรอิตาลี 3 เดือน เอ ไม่เพียงสะท้อนถึงความเข้าใจในสภาวะตลาดของผู้ลงทุน และการเล็งเห็นโอกาสล็อคเงินเข้าลงทุนทั้งในตราสารหนี้ที่มีอายุค่อนข้างสั้น ภายใต้ความเสี่ยงต่ำ แต่ให้โอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจกว่าการลงทุนในประเทศเท่านั้น หากยังแสดงถึงความเชื่อมั่นในคุณภาพของตราสารที่กองทุนเลือกลงทุนด้วย เนื่องจากพันธบัตรรัฐบาลอิตาลีมีอันดับความน่าเชื่อถือระยะสั้นที่สูงสุด คือ P1,A1+ และ F1 จากการจัดอันดับของ Moody’s,S&P และ Fitch ตามลำดับ ซึ่งถือว่าเป็นอันดับความน่าเชื่อถือที่สูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลไทย
นอกจากนี้ สถาบันการเงินส่วนใหญ่ของอิตาลี ไม่ได้ลงทุนในตราสารที่เกี่ยวข้องกับ Subprime จึงทำให้อิตาลีไม่ได้รับผลกระทบเหมือนประเทศอื่นๆในยุโรป นอกจากนี้อิตาลียังเป็นประเทศที่มีผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ Gross Domestic Product (GDP)อันดับ 7 ของโลก หรือ กว่า 2.1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ และการที่อิตาลีเป็นสมาชิกของ Europe Monetary Union (EMU) ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศยุโรปที่มีความแข็งแกร่งทางการเงิน ถือเป็นสิ่งที่ยังช่วยเสริมความมั่นคงทางการเงินของอิตาลีได้เป็นอย่างดี
นายพิชา รัตนธรรม หัวหน้าธุรกิจกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า หลังจากอัตราดอกเบี้ยยังคงปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้พบว่าการลงทุนในตราสารหนี้เอกชนอายุประมาณ 2-3 ปียังให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจ เนื่องจากมีผลตอบแทนส่วนเพิ่มหรือ Credit spread ที่สูง เมื่อเปรียบเทียบกับการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลที่มีอายุใกล้เคียงกัน แต่เนื่องจากนักลงทุนบางคนกังวลว่าหากดอกเบี้ยในตลาดยังคงปรับลดลงต่อไปอีกในระหว่าง 2-3 ปีที่มีการลงทุนไปแล้ว จะทำให้ไม่ได้รับประโยชน์ในส่วนนั้น บลจ. ทิสโก้จึงได้เสนอทางเลือกใหม่เพื่อรองรับความต้องการดังกล่าว
ดังนั้น บริษัทจึงเตรียมเปิดขายกองทุนตราสารหนี้เอกชน “กองทุนเปิด ทิสโก้ สเปเชี่ยล พลัส 11” ที่มีนโยบายเหมือนกองทุนอื่นๆ ในตระกูลของ “สเปเชี่ยล พลัส” คือ มุ่งรับผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้ธนาคารพาณิชย์และบริษัทเอกชน เพื่อคาดหวังโอกาสรับผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก และมีอายุโครงการประมาณ 2 ปีเช่นเดิม แต่มีการเพิ่มเงื่อนไขให้สามารถเลิกกองทุนและรับเงินต้นคืนพร้อมผลตอบแทนได้ก่อนครบอายุโครงการ หากหน่วยลงทุน (NAV) มีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 10.42 บาท ณ วันทำการใด ภายในระยะเวลา 1 ปี โดยกองทุนเปิด ทิสโก้ สเปเชี่ยล พลัส 11 มูลค่าโครงการ 200 ล้านบาท จะเปิดขายครั้งเดียวระหว่างวันที่ 16-24 เม.ย. นี้ ลงทุนขั้นต่ำ 20,000 บาท
สำหรับจุดเด่นของกองทุนนี้คือ ความแตกต่างจากกองทุนตราสารหนี้ทั่วไปที่ผู้ลงทุนต้องถือจนครบอายุโครงการจึงจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน แต่สำหรับกองทุนนี้เราเพิ่มเงื่อนไขเข้ามาเพื่อช่วยให้นักลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนตามเป้าหมายเร็วขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาในตลาดมีแต่กองทุนตราสารทุนที่มีการตั้งเป้าทำกำไรตามเป้าหมาย หรือทาร์เกตฟันด์ ดังนั้น “กองทุนเปิด ทิสโก้ สเปเชี่ยล พลัส 11” จึงเป็นกองทุนตราสารหนี้รูปแบบใหม่ในตลาด ที่เปิดโอกาสให้กองทุนได้กำไรจากการปรับราคาทรัพย์สินที่ลงทุนให้สะท้อนกับราคาทรัพย์สินในปัจจุบันที่มีการซื้อขายอยู่ในตลาด หรือที่เรียกว่า Mark to Market ของตลาดด้วย