xs
xsm
sm
md
lg

รู้จักสุดยอดนักลงทุน : วอเร็น บัฟเฟตต์ (4)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

วอเร็น บัฟเฟตต์
คอลัมน์ Money DIY
โยแมน
yeomanwarders-dailymanager@yahoo.com


สวัสดีปีวัวกลัวจนเศร้า ขู่ให้เราเตรียมเผาจริงชิงหลักประหาร

เงินก็ฝืด หืดก็จับ พับซมซาน เสียวจะพาลโดนซองขาวให้หนาวใจ

ปีใหม่นี้ขอท่านทั้งหลายไม่ลำบาก มีเงินเหลือพอฝากไม่ยากหาย

ซื้อ LTF RMF ต่อเนื่องเฟื่องสบาย ภัยทั้งหลายอย่าได้ต้องปองกายา

คิดสิ่งใดทำสิ่งใดให้สมหวัง แม้หุ้นพัง แต่ก็ยังมีปันผล

ขอให้แบงก์แข่งดอกฝากให้อึงอล มีสุขล้น เฮง เฮงด้วย รวยทั้งปี

หลังจากว่ากลอนหลังบ้านแล้ว ไม่ต้องพูดพล่ามทำเพลงครับขอต่อกันเลยแล้วกัน จากครั้งที่แล้วได้รวบรวมเหตุผลว่าทำไมนักลงทุนประเภท Value Investor ถึงให้ความสนใจลงทุนในบริษัทเบิร์กชาย แฮธาเวย์กันนัก

สำหรับเหตุผลอื่นๆ (อีกมากมายก่ายกอง) มีดังต่อไปนี้ครับ

10) ซื้อหุ้นบริษัทเดียว เหมือนได้ถือหุ้นเกือบร้อยบริษัท เฉพาะบริษัทจดทะเบียนในตลาดฯ (ที่แกเปรียบเทียบว่าเป็นเสมือนโคตรเพชร ที่แค่ได้ไปถือร่วมกับคนอื่นก็พอใจแล้ว) ก็ปาเข้าไปตั้ง 35 บริษัท เช่น บริษัทผู้ผลิตเครื่องดื่มน้ำดำอย่างโคคา โคลา บริษัทพร็อกเตอร์ แอนด์ แกมเบิล ผู้ผลิตสินค้าสารพัดตั้งแต่ครีมทาหน้ายันน้ำยาล้างห้องน้ำ บริษัทอเมริกัน เอ็กซเพรส หนึ่งในผู้นำด้านบัตรเครดิตของโลก บริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก คราฟท์ ฟูดส์ ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์อาหารของโลก บริษัทจัดอันดับมูดดีส์ ห้างสรรพสินค้าอันดับหนึ่งของอเมริกาอย่างวอลมาร์ท หนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสท์ และไนกี้ ยักษ์ใหญ่ด้านผลิตภัณฑ์กีฬา เป็นต้น เห็นไหมครับว่าแม้จะเป็นบริษัทอเมริกัน แต่ก็ก็เป็นอะไรที่เราคนไทยได้ยินได้กินได้ใช้เป็นประจำเกือบทุกบ้าน

ส่วนบริษัทที่เบิร์กชายเหมาเป็นเจ้าของคนเดียวเลยก็มีอีกเกือบ 60 บริษัท มีหลากหลายสารพัดธุรกิจตั้งแต่บริษัทผลิตลูกอมจนถึงบริษัทฝึกการบิน และยังมีกลุ่มบริษัทประกันซึ่งถือเป็นธุรกิจหลักและแหล่งเงินทุนที่สำคัญของเบิร์กชายอีกด้วย

11) มีแหล่งเงินทุนที่ไม่มีต้นทุน ถือเป็นลักษณะเฉพาะของเบิร์กชาย ที่ใครลอกเลียนแบบได้ยาก นั่นคือ มีเงินสดกว่า 35,000 ล้านเหรียญที่ได้จากเบี้ยประกันภัย (ก่อนจ่ายค่าสินไหม ให้กับผู้เอาประกัน ซึ่งถ้าไม่มีเรื่องก็ไม่ต้องจ่ายนั่นแหละครับ) หมายความว่า นอกจากบริษัทจะมีกำไรจากธุรกิจประกันภัยแล้ว บริษัทอื่นๆที่อยู่ภายใต้ร่มเงาของเบิร์กชายยังมีแหล่งเงินทุนที่ปลอดดอกเบี้ยในการดำเนินธุรกิจอีกด้วย

12) เป็นกองทุนที่พร้อมรับประโยชน์จากตลาดตกต่ำ  บัฟเฟ็ตต์นั้นเคยกล่าวไว้ครับว่า ถ้าจ้างใครให้ทำหุ้นตกได้ก็จะทำ ยิ่งตกมากยิ่งดี เพราะแกถือว่าแกมีเงินสดบานเบียงพร้อมซื้อของถูกตลอดเวลานั่นเอง บัฟเฟ็ตต์นั้นจะไม่ซื้อของไม่คุ้มราคาครับ ดังนั้น สังเกตได้ว่าในช่วงตลาดขาขึ้น แกจะมีเงินสดมากมายก่ายกองเพิ่มขึ้นไปอีก เนื่องจากไม่รู้จะซื้ออะไรดี

13) อยู่ในฐานะผู้เลือก และเพราะบริษัทมีเงินสดเหลือเฟือนี่แหละครับ เลยมีแต่คนวิ่งมาเสนอตัวให้ซื้อด้วยข้อเสนอดีชนิดที่คนอื่นอยากได้บ้าง แต่ไม่มีโอกาส อย่างเช่นดีลกับโกลด์แมน แซคซ์นั่นประไร วานิชธนากรยักษ์ใหญ่เสนอหุ้นบุริมสิทธิ์ด้วยอัตราเงินปันผล 10% ต่อปี พร้อมสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญอีก 5 พันล้านเหรียญ ในระยะเวลา 5 ปี ถือเป็นสุดยอดของการใส่พานให้ในรอบปีเลยทีเดียว

14) บริษัทในกลุ่ม ไม่ต้องเสียเวลา เหมือนบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ เนื่องจากเบิร์กชายนั้นจะเน้นหนักการลงทุนไปในบริษัทที่มิได้อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ดังนั้นบริษัทเหล่านี้ จึงไม่ต้องมาปวดหัววุ่นวายกับการตอบคำถามผู้ถือหุ้น นักวิเคราะห์ สื่อมวลชน การประชุมประจำปี และรายงานประจำปี ทำให้ผู้บริหารบริษัทในกลุ่มมีเวลาในการทำธุรกิจของตนให้ดีมากขึ้นไปด้วย

15) หุ้นมีราคาต่ำกว่าความเป็นจริง เบิร์กชายมักมีราคาต่ำกว่าที่ควร ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากกฏเกณฑ์ทางบัญชี เนื่องจากตามมาตรฐานบัญชี บริษัทจะบันทึกบัญชีสำหรับบริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้นอยู่ทั้งหมดที่ราคาต้นทุน ซึ่งตามเกณฑ์แล้วจะไม่อนุญาตให้มีการปรับปรุงมูลค่าทางบัญชีของบริษัทเหล่านั้นอีก ไม่ว่าบริษัทย่อยเหล่านั้นจะเติบโตไปมากมายขนาดไหนก็ตาม ยกตัวอย่างเช่น บริษัทลูกอมที่เบิร์กชายลงทุนไปเป็นเงิน 25 ล้านเหรียญฯ ในปี 2515 ตั้งแต่บัดนั้นจนถึงปี 2007 บริษัทลูกอมนี้สร้างกำไรก่อนหักภาษีให้กับเบิร์กชายสูงถึง 1.35 พันล้านเหรียญฯ คิดดูสิครับว่ารายได้ของบริษัทนั้นสูงกว่าเงินลงทุนเมื่อ 37 ปีที่แล้วกว่า 50 เท่า!

นอกจากเหตุผลดังกล่าวข้างต้นแล้ว ยังมีเหตุผลอื่นๆอีกครับ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทที่มีนักวิเคราะห์ติดตามไม่มากนัก แถมราคาหุ้นก็สูงเกินเอื้อม (ถ้าจะซื้อหุ้น Class B ต้องมีอย่างน้อยๆ 10 ล้านบาท ส่วน Class A นั้นไม่ต้องพูดถึง โน่นเลยครับต้องมีเงินอย่างน้อยเหยียบ 300 กว่าล้านบาทถึงจะมีโอกาสซื้อได้ เพราะราคาหุ้นสูงถึงหุ้นละ 3 ล้านกว่าบาท) นอกจากนั้นปริมาณการซื้อขายก็ต่ำ เจ้าของถือเองซะเยอะ มีหุ้นเปลี่ยนมือกันน้อยเพียงแค่ประมาณ 3% เท่านั้น นอกจากนั้น การประเมินบริษัทย่อยที่ไม่ใช่บริษัทจดทะเบียนในตลาดนั้นทำได้ค่อนข้างยาก ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น จึงทำให้ราคาเบิร์กชายมักจะอยู่ในระดับต่ำกว่าควรครับ

16) ไม่ต้องเสียภาษี เนื่องจากบริษัทไม่มีการจ่ายเงินปันผล นอกจากราคาต่อหุ้นสูงสุดขีดแล้ว ยังไม่เคยจ่ายเงินปันผลอีกต่างหาก เอากะแกสิ คือ ถ้าจ่ายปันผลผู้ถือหุ้นก็จะโดนภาษีอาน ดังนั้นแกเลยไม่จ่ายออกมา ดังนั้น ผลตอบแทนก็จะวนอยู่เป็นแหล่งเงินทุนของบริษัทที่ไม่เสียภาษีต่อเนื่องไปเรื่อยๆนั่นเอง จะเสียภาษีก็ต่อเมื่อนักลงทุนขายหุ้นออกมาเท่านั้น

มีหลายคนถามผมมาครับว่าอยากลงทุนในบริษัทแบบนี้ในเมืองไทยมีไหม คำตอบก็คือยังไม่มีครับ ส่วนจะหาทางไปลงทุนในเบิร์กชายเองก็ค่อนข้างจะยาก ยกเว้นท่านมีสตางค์เยอะๆก็ไปหาซื้อโดยตรงที่เมืองนอกได้ สำหรับคนมีสตางค์ไม่มากมายขนาดนั้นก็อาจต้องร้องเพลงรอจนกว่าจะมีใครทำออกมาเป็นกองทุนรวมต่างประเทศให้ท่านได้เลือกลงทุนกัน

สวัสดีปีใหม่อีกครั้งครับ

กำลังโหลดความคิดเห็น