ผู้จัดการรายวัน- บลจ.ทยอยเก็บหุ้นเข้าพอร์ต หลังปัจจัยการเมืองมีความชัดเจนเพิ่มขึ้น แต่คาดเป็นปัจจัยบวกระยะสั้น ส่วนในระยะยาวขอรอดูนโยบาย และทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ก่อนว่าจะเป็นอย่างไร พร้อมั่นใจดัชนีหุ้นไม่กลับไปต่ำกว่า 400 จุดแน่
นายวิโรจน์ ตั้งเจริญ รักษาการ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานพัฒนาธุรกิจและการตลาด1 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กรุงไทย จำกัด(มหาชน)เปิดเผยว่า สำหรับภาวะตลาดหุ้นภายในประเทศในขณะนี้ เนื่องจากปัจจัยทางด้านการเมืองมีความจัดเจนมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ในช่วงที่ผ่านมาดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวเป็นบวก โดยนักลงทุนเริ่มมีความมั่นใจในกลับเข้ามาลงทุนมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ดัชนีที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมานั้นจะปรับตัวเป็นระยะเวลานานเท่าใดนั้น ขึ้นอยู่กับความมั่นใจในรัฐบาลที่จะเข้ามาบริหารต่อจากรัฐบาลชุดเก่า อีกทั้งจะต้องมองถึงนโยบายการบริหารของรัฐบาลชุดใหม่ด้วยว่าเป็นอย่างไร ซึ่งจากตรงนี้จะต้องมองถึงนโยบายการทำงานว่าเป็นเช่นไร ใครที่จะเข้ามาบริหารแล้วจะสามารถสร้างความเชื่อถือให้กับนักลงทุนได้มากน้อยแค่ไหน อีกทั้งผลการดำเนินงานว่าจะมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน แต่ทั้งนี้โดยส่วนตัวมองว่าจากปัจจัยต่างๆที่เกิดขึ้นจะทำให้ราคาหุ้นยืนอยู่ที่ราคาปกติ โดยมองว่าหุ้นจะไม่ปรับตัวลงไปต่ำกว่า 400 จุด และจะไม่ลดลงไปอยู่จุดต่ำสุดเท่าที่ผ่านมา
นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า สำหรับช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับตัวลดลงมานั้น กองทุนที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นของบลจ.ได้มีการทยอยซื้อหุ้นเข้ามาเก็บไว้ในพอร์ตการลงทุนอยู่แล้ว พร้อมทั้งมีการปรับพอร์ตการลงทุนตามสถานะการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งหลังจากที่ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นทำให้กองทุนได้รับกำไรจากหุ้นที่ได้ซื้อไปก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ เมื่อนำราคาหุ้นที่ซื้อมาเทียบกัน จะพบว่า ผลตอบแทนที่ได้รับจะดีกว่าการนำเงินไปฝากธนาคาร
โดยหลังจากนี้หากจะมีการลงทุนบลจ.จะเน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่เป็นการขยายตัวของ กลุ่มที่จะได้รับประโยชน์จากภาครัฐ หรือการลงทุนในเมกกะโปรเจกต์ อาทิ กลุ่มธนาคาร กลุ่มสื่อสาร กลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ และกลุ่มพลังงาน
ขณะเดียวกัน นักลงทุนที่กล้ายอมรับความเสี่ยงของการลงทุนในหุ้นได้ บลจ.คาดว่าคงจะมีนักลงทุนกลับเข้ามาลงทุนในกองทุนหุ้นเพิ่มขึ้น โดยจะเป็นการทยอยกลับเข้ามาลงทุนไม่ได้กลับเข้ามาลงทุนแบบรวดเดียว เนื่องจากบริษัทมองถึงแนวโน้มเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2552 ว่า ในครึ่งปีแรกนั้น ประเทศไทยจะประสบกับปัญหาการด้านท่องเที่ยว ซึ่งถือว่าเป็นธุรกิจหลักที่ดึงเม็ดเงินเข้ามาในประเทศ อีกทั้ง การกลับเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างชาติหลังจากนี้จะเริ่มทยอยกลับเข้ามาลงทุน แต่เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกอยู่ในภาวะถดถอย ทำให้นักลงทุนต่างชาติต่างพากันทยอยขายหุ้นออกมามากกว่าจะทยอยซื้อ
ด้านนาย พนุกร จันทรประภาพ ผู้อำนวยการฝ่ายตราสารทุน บลจ.แมนูไลฟ์(ประเทศไทย)จำกัด กล่าวว่า จากมุมมองของกองทุนนั้น มองว่าเมื่อการเมืองยุติลง แล้วดัชนีหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องมาจากนักลงทุนมองว่าความเสี่ยงด้านการเมืองได้ปรับตัวลดลงไปเยอะ จากเหตุการณ์ที่สามารถได้ข้อสรุป โดยให้มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ แต่หากถามว่าจะปรับตัวเป็นบวกเป็นระยะเวลานานเท่าใดนั้นจะต้องมองถึง นโยบายการบริหารของรัฐบาลว่าจะมีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน
โดยเมื่อมองในช่วง 2-3 สัปดาห์ก่อนหน้านี้ที่ศาลมีคำสั่งตัดสินยุบ 3 พรรคการเมือง ส่งผลให้ความเสี่ยงทางด้านการเมืองลดน้อยลง พร้อมทั้งดัชนีหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นมา โดยก่อนหน้านี้ตลาดหุ้นภายในประเทศไม่ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเนื่องจากปัจจัยทางด้านการเมืองสร้างความไม่มั่นใจให้นักลงทุน แต่เมื่อทุกอย่างคลี่คลายไปในทางที่ดีดัชนีหุ้นจึงได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น นักลงทุนกล้าที่จะกลับเข้ามาลงทุน
แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับดัชนีที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้น ประเมินว่าจะเป็นการปรับตัวในระยะสั้นตามที่นักวิเคราะห์ได้กล่าวส่วนการปรับตัวระยะยาว จะต้องรอดูการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี(ครม.)ก่อนว่าจะเป็นไปในรูปแบบใด มีความสามรถในการบริหารมากน้อยแค่ไหน มีนโยบายอย่างไร อีกทั้งการตอบรับการทำงานของบุคคลที่จะเข้ามาบริหารเศรษฐกิจภายในประเทศ
"ในส่วนตลาดหุ้นภายในประเทศ โอกาสที่จะปรับตัวต่ำกว่า 400 จุดนั้นมีน้อยมาก โดยที่ผ่านมาดัชนี้หุ้นอาจจะได้เคยผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว แต่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงไปเลยนั้นยาก ดังนั้น รัฐบาลจะต้องมีนโยบายที่จะเข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้นกว่านี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั้นให้แก่นักลงทุนกลับเข้ามาลงทุน"นายพนุกร กล่าว
สำหรับการลงทุนหลังจากนี้ บลจ.จะมีการเข้าไปบลงทุนในหุ้น โดยมีเม็ดเงินจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว(LTF)ที่ได้รับจากนักลงทุนในช่วงปลายปี 2551 แต่ทั้งนี้ ในส่วนของเม็ดเงินที่ได้จากกองทุนแอลทีเอฟนั้นมีเพียงไม่มากหนัก แม้ในช่วงที่ผ่านมาได้มีนักลงทุนเข้ามาลงทุนในกองทุนของบริษัทเพิ่มขึ้น ทำให้มีเม็ดเงินใหม่ที่ไหลเข้ามาในกองทุน แต่เมื่อนำราคาหุ้นมาเทียบกับช่วงต้นปีที่ผ่านมาจะพบว่าหลายๆบลจ.จะประสบกับปัญหาขาดทุนด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้นการลงทุนในหุ้นจะต้องอาศัยความมั่นใจจากนักลงทุนต่างประเทศให้เข้ามาร่วมลงทุนด้วย และคาดว่าหลังจากนี้จนถึงปลายปีนักลงทุนต่างชาติจะยังไม่กลับเข้ามาร่วมลงทุนในตลาดหุ้นภายในประเทศ จึงคาดว่าสิ้นปี2551ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไม่น่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเกินกว่า 450 จุด
"โดยส่วนตัวจะประเมินสถานการณ์การเมืองก่อนที่จะก่อนที่จะกลับเข้าไปลงทุนในหุ้น ซึ่งต้องมองถึงนโยบายการบริหาร มองว่าใครจะเข้ามาบริหาร และมองถึงแนวโน้มเศรษฐกิจทั่วโลกว่ามีทิศทางเป็นอย่างไร การลงทุนระยะสั้นอาจจะทำกำไรให้กับนักลงทุนได้ เนื่องจากมีข่าวดีทางด้านการเมืองเข้ามาเป็นตัวแปร แต่การลงทุนที่ดีนักลงทุนไม่ควรที่จะใจร้อนเข้าไปลงทุนควรจะใจเย็นเพื่อรอดูสถานการณ์ก่อน แต่ทั้งนี้ การลงทุนจะต้องคำนึงถึงสถานการณ์ต่างประเทศด้วย โดยจะต้องประเมินการลงทุนอย่างใกล้ชิด เนื่องจากที่ผ่านมาเศรษฐกิจทั่วโลกได้เข้าสู่ภาวะถดถอยจึงทำให้การลงทุนในหุ้นจะต้องมีความระมัดระวังมากขึ้น" นายพนุกร กล่าว
นอกจากนี้ การปรับพอร์ตการลงทุนของบลจ. นั้น จะต้องมองดูหุ้นกลุ่มที่ราคาปรับตัวลดลงมาค่อนข้างเยอะ อย่างเช่น ในกลุ่มพลังงาน โดยการลงทุนในระยะสั้นของกลุ่มพลังงานยังดีอยู่ แต่ทั้งนี้การลงทุนของบลจ.จะเน้นลงทุนในหุ้นเป็นรายตัว โดยพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานในหุ้นแต่ละตัว และไม่ได้เน้นลงทุนในหุ้นเป็นรายกลุ่ม
นายวิโรจน์ ตั้งเจริญ รักษาการ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานพัฒนาธุรกิจและการตลาด1 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กรุงไทย จำกัด(มหาชน)เปิดเผยว่า สำหรับภาวะตลาดหุ้นภายในประเทศในขณะนี้ เนื่องจากปัจจัยทางด้านการเมืองมีความจัดเจนมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ในช่วงที่ผ่านมาดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวเป็นบวก โดยนักลงทุนเริ่มมีความมั่นใจในกลับเข้ามาลงทุนมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ดัชนีที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมานั้นจะปรับตัวเป็นระยะเวลานานเท่าใดนั้น ขึ้นอยู่กับความมั่นใจในรัฐบาลที่จะเข้ามาบริหารต่อจากรัฐบาลชุดเก่า อีกทั้งจะต้องมองถึงนโยบายการบริหารของรัฐบาลชุดใหม่ด้วยว่าเป็นอย่างไร ซึ่งจากตรงนี้จะต้องมองถึงนโยบายการทำงานว่าเป็นเช่นไร ใครที่จะเข้ามาบริหารแล้วจะสามารถสร้างความเชื่อถือให้กับนักลงทุนได้มากน้อยแค่ไหน อีกทั้งผลการดำเนินงานว่าจะมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน แต่ทั้งนี้โดยส่วนตัวมองว่าจากปัจจัยต่างๆที่เกิดขึ้นจะทำให้ราคาหุ้นยืนอยู่ที่ราคาปกติ โดยมองว่าหุ้นจะไม่ปรับตัวลงไปต่ำกว่า 400 จุด และจะไม่ลดลงไปอยู่จุดต่ำสุดเท่าที่ผ่านมา
นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า สำหรับช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับตัวลดลงมานั้น กองทุนที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นของบลจ.ได้มีการทยอยซื้อหุ้นเข้ามาเก็บไว้ในพอร์ตการลงทุนอยู่แล้ว พร้อมทั้งมีการปรับพอร์ตการลงทุนตามสถานะการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งหลังจากที่ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นทำให้กองทุนได้รับกำไรจากหุ้นที่ได้ซื้อไปก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ เมื่อนำราคาหุ้นที่ซื้อมาเทียบกัน จะพบว่า ผลตอบแทนที่ได้รับจะดีกว่าการนำเงินไปฝากธนาคาร
โดยหลังจากนี้หากจะมีการลงทุนบลจ.จะเน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่เป็นการขยายตัวของ กลุ่มที่จะได้รับประโยชน์จากภาครัฐ หรือการลงทุนในเมกกะโปรเจกต์ อาทิ กลุ่มธนาคาร กลุ่มสื่อสาร กลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ และกลุ่มพลังงาน
ขณะเดียวกัน นักลงทุนที่กล้ายอมรับความเสี่ยงของการลงทุนในหุ้นได้ บลจ.คาดว่าคงจะมีนักลงทุนกลับเข้ามาลงทุนในกองทุนหุ้นเพิ่มขึ้น โดยจะเป็นการทยอยกลับเข้ามาลงทุนไม่ได้กลับเข้ามาลงทุนแบบรวดเดียว เนื่องจากบริษัทมองถึงแนวโน้มเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2552 ว่า ในครึ่งปีแรกนั้น ประเทศไทยจะประสบกับปัญหาการด้านท่องเที่ยว ซึ่งถือว่าเป็นธุรกิจหลักที่ดึงเม็ดเงินเข้ามาในประเทศ อีกทั้ง การกลับเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างชาติหลังจากนี้จะเริ่มทยอยกลับเข้ามาลงทุน แต่เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกอยู่ในภาวะถดถอย ทำให้นักลงทุนต่างชาติต่างพากันทยอยขายหุ้นออกมามากกว่าจะทยอยซื้อ
ด้านนาย พนุกร จันทรประภาพ ผู้อำนวยการฝ่ายตราสารทุน บลจ.แมนูไลฟ์(ประเทศไทย)จำกัด กล่าวว่า จากมุมมองของกองทุนนั้น มองว่าเมื่อการเมืองยุติลง แล้วดัชนีหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องมาจากนักลงทุนมองว่าความเสี่ยงด้านการเมืองได้ปรับตัวลดลงไปเยอะ จากเหตุการณ์ที่สามารถได้ข้อสรุป โดยให้มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ แต่หากถามว่าจะปรับตัวเป็นบวกเป็นระยะเวลานานเท่าใดนั้นจะต้องมองถึง นโยบายการบริหารของรัฐบาลว่าจะมีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน
โดยเมื่อมองในช่วง 2-3 สัปดาห์ก่อนหน้านี้ที่ศาลมีคำสั่งตัดสินยุบ 3 พรรคการเมือง ส่งผลให้ความเสี่ยงทางด้านการเมืองลดน้อยลง พร้อมทั้งดัชนีหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นมา โดยก่อนหน้านี้ตลาดหุ้นภายในประเทศไม่ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเนื่องจากปัจจัยทางด้านการเมืองสร้างความไม่มั่นใจให้นักลงทุน แต่เมื่อทุกอย่างคลี่คลายไปในทางที่ดีดัชนีหุ้นจึงได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น นักลงทุนกล้าที่จะกลับเข้ามาลงทุน
แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับดัชนีที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้น ประเมินว่าจะเป็นการปรับตัวในระยะสั้นตามที่นักวิเคราะห์ได้กล่าวส่วนการปรับตัวระยะยาว จะต้องรอดูการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี(ครม.)ก่อนว่าจะเป็นไปในรูปแบบใด มีความสามรถในการบริหารมากน้อยแค่ไหน มีนโยบายอย่างไร อีกทั้งการตอบรับการทำงานของบุคคลที่จะเข้ามาบริหารเศรษฐกิจภายในประเทศ
"ในส่วนตลาดหุ้นภายในประเทศ โอกาสที่จะปรับตัวต่ำกว่า 400 จุดนั้นมีน้อยมาก โดยที่ผ่านมาดัชนี้หุ้นอาจจะได้เคยผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว แต่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงไปเลยนั้นยาก ดังนั้น รัฐบาลจะต้องมีนโยบายที่จะเข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้นกว่านี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั้นให้แก่นักลงทุนกลับเข้ามาลงทุน"นายพนุกร กล่าว
สำหรับการลงทุนหลังจากนี้ บลจ.จะมีการเข้าไปบลงทุนในหุ้น โดยมีเม็ดเงินจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว(LTF)ที่ได้รับจากนักลงทุนในช่วงปลายปี 2551 แต่ทั้งนี้ ในส่วนของเม็ดเงินที่ได้จากกองทุนแอลทีเอฟนั้นมีเพียงไม่มากหนัก แม้ในช่วงที่ผ่านมาได้มีนักลงทุนเข้ามาลงทุนในกองทุนของบริษัทเพิ่มขึ้น ทำให้มีเม็ดเงินใหม่ที่ไหลเข้ามาในกองทุน แต่เมื่อนำราคาหุ้นมาเทียบกับช่วงต้นปีที่ผ่านมาจะพบว่าหลายๆบลจ.จะประสบกับปัญหาขาดทุนด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้นการลงทุนในหุ้นจะต้องอาศัยความมั่นใจจากนักลงทุนต่างประเทศให้เข้ามาร่วมลงทุนด้วย และคาดว่าหลังจากนี้จนถึงปลายปีนักลงทุนต่างชาติจะยังไม่กลับเข้ามาร่วมลงทุนในตลาดหุ้นภายในประเทศ จึงคาดว่าสิ้นปี2551ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไม่น่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเกินกว่า 450 จุด
"โดยส่วนตัวจะประเมินสถานการณ์การเมืองก่อนที่จะก่อนที่จะกลับเข้าไปลงทุนในหุ้น ซึ่งต้องมองถึงนโยบายการบริหาร มองว่าใครจะเข้ามาบริหาร และมองถึงแนวโน้มเศรษฐกิจทั่วโลกว่ามีทิศทางเป็นอย่างไร การลงทุนระยะสั้นอาจจะทำกำไรให้กับนักลงทุนได้ เนื่องจากมีข่าวดีทางด้านการเมืองเข้ามาเป็นตัวแปร แต่การลงทุนที่ดีนักลงทุนไม่ควรที่จะใจร้อนเข้าไปลงทุนควรจะใจเย็นเพื่อรอดูสถานการณ์ก่อน แต่ทั้งนี้ การลงทุนจะต้องคำนึงถึงสถานการณ์ต่างประเทศด้วย โดยจะต้องประเมินการลงทุนอย่างใกล้ชิด เนื่องจากที่ผ่านมาเศรษฐกิจทั่วโลกได้เข้าสู่ภาวะถดถอยจึงทำให้การลงทุนในหุ้นจะต้องมีความระมัดระวังมากขึ้น" นายพนุกร กล่าว
นอกจากนี้ การปรับพอร์ตการลงทุนของบลจ. นั้น จะต้องมองดูหุ้นกลุ่มที่ราคาปรับตัวลดลงมาค่อนข้างเยอะ อย่างเช่น ในกลุ่มพลังงาน โดยการลงทุนในระยะสั้นของกลุ่มพลังงานยังดีอยู่ แต่ทั้งนี้การลงทุนของบลจ.จะเน้นลงทุนในหุ้นเป็นรายตัว โดยพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานในหุ้นแต่ละตัว และไม่ได้เน้นลงทุนในหุ้นเป็นรายกลุ่ม