บลจ.กสิกรไทยคาดหุ้นไทยปีหน้า แกว่งตัวขาขึ้นดันดัชนีปรับตัวแตะ 600-650 จุด ส่วนปีนี้อาจปิดในระดับ 500 จุดจากอานิสงส์ของการลงทุนผ่านกองทุน LTF –RMFช่วงปลายปี พร้อมแนะนักลงทุนหาช่องทำกำไรระยะสั้นจากการแกว่งตัวของดัชนีปีหน้า
นายอโศก วงศ์ชะอุ่ม รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า การลงทุนในตลาดหุ้นช่วงที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกค่อนข้างมาก โดยเชื่อว่าหลังจากนี้การลงทุนน่าจะปรับตัวดีขึ้นได้ต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า และภายในปีหน้าดัชนีน่าจะปรับตัวปิดที่ 500-550 จุดได้จากปัจจุบันที่อยู่ในระดับ 400 จุด
ทั้งนี้ ปัจจัยที่น่าจะมีผลทำให้ดัชนีปรับตัวขึ้นได้ในช่วงปลายปีน่าจะเป็นการกระตุ้นการลงทุน จากกองทุน LTF และRMF ในช่วงปลายปี ที่คาดว่าจะมีเงินเข้ามาในตลาดทุนพอสมควร รวมถึงการตั้งแม็ทชิ่งฟันด์ในช่วงที่ผ่านมาด้วย
นายอโศก กล่าวอีกว่า แนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นปีหน้า เชื่อว่าจะมีการแกว่งตัว แต่ในระยะยาวนั้นน่าจะอยู่ในช่วงขาขึ้น หรือ ไซด์เวย์อัพ โดยดัชนีที่คาดการณ์ไว้น่าจะอยู่ที่ประมาณ 600-650 จุด เนื่องจากความน่าสนใจของหุ้นภายในตลาดยังมีอยู่ และราคาในช่วงที่ผ่านมามีการปรับตัวลดลงมาในระดับต่ำมากแล้ว
ทั้งนี้ ผลกระทบที่น่ากังวลหลังจากนี้เป็นเรื่องของปัญหาเศรษฐกิจโลก และสถาบันการเงินในต่างประเทศเป็นหลัก ส่วนเรื่องเงินเฟ้อ คงจะไม่มีผลกระทบเกิดขึ้นแล้ว เนื่องจากราคาน้ำมันปรับตัวลดลงมากในช่วงที่ผ่านมา
“เป็นไปได้ที่จะเป็นอีกแบบปีนี้ที่ช่วงหลังหุ้นมันตกฮวบ ซึ่งไม่มีใครเชื่อว่าจะตกถึง 50% แต่เราตื่นตัว มาแล้ว และข้อดีก็คือทำให้ทุกคนระมัดระวัง ดูเรื่องความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากได้เรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมา”นายอโศกกล่าว
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังน่าจะมีผลกระทบภายในประเทศเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เนื่องจากรัฐบาลยังไม่มีเสถียรภาพมากนัก ซึ่งการดำเนินนโยบายเองยังไม่ชัดเจน ทำให้นักลงทุนยังขาดความเชื่อมั่นพอสมควร อย่างไรก็ตามเชื่อว่าคงจะมีผลกระทบแค่ในระยะสั้น เพราะตลาดรับรู้เรื่องมาเป็นระยะเวลานานมากแล้ว
“การเมืองคงจะต้องใช้เวลา ซึ่งหากจะมีการตั้งถ้าต่อสู้กัน ทั้งเรื่องโฟนอินโฟนเอาท์ ก็จะทำให้ตลาดวิตก แต่เรื่องนี้มีผลกระทบมานานเป็นปีแล้วคงจะเป็นแค่ในระยะสั้นๆ”นายอโศกกล่าว
นายอโศก กล่าวอีกว่า การที่ในปีหน้าการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์จะมีการแกว่งตัวอยู่ในช่วงขาขึ้นนั้น น่าจะเป็นโอกาสดีของนักลงทุน โดยกลยุทธ์ในสถานกาณร์แบบนี้จะต้องทำการเลือกหุ้นที่จะลงทุนและขายทำกำไรในระยะสั้น เป็นช่วงๆ ไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
“การแกว่งตัวข้อดีของมันคือการทำกำไรระยะสั้น แต่ถ้าเห็นเทรนด์ชัดเจนก็จะบายแอนด์โฮลด์ ส่วนถ้ามีการแกว่างตัว อาจจะซื้อตุ้นไว้ก่อนและดูจังหวะที่เป็นราคาเป้าหมายแล้วขายทำกำไร แต่ไม่ใช่เข้าๆ ออกต้องดูให้ดี และเลือกหุ้นที่ขึ้นว่ามัน ปรับตัวได้ในระดับต่ำตามที่ต้องการแล้ว”นายอโศกกล่าว
ทั้งนี้ เชื่อว่ากองทุนที่น่าจะสามารถทำกำไรให้กับนักลงทุนได้ดีในปีหน้า คงจะเป็นกองทุนประเภททาร์เก็ตฟันด์ ซึ่งบริษัทเองมีโปรดักซ์กองทุนประเภทนี้รองรับเอาไว้แล้ว อย่าง K-star ที่จะขายทำกำไรให้กับนักลงทุนทุกครั้งที่ดัชนีมีการปรับตัวขึ้นตามนโยบายของกองทุนที่กำหนดไว้ นอกจากนี้บริษัทยังมีกองทุนหุ้นเอาไว้เป็นทางเลือกให้กับนักลงทุนอีกหลายกองทุน โดยสำหรับนักลงทุนที่ไม่ชอบติดตามสภาวะตลาด สามารถลงทุนได้ในกองทุน SET50 ที่จะลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้เกาะไปตามสภาวะตลาด
นายอโศก วงศ์ชะอุ่ม รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า การลงทุนในตลาดหุ้นช่วงที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกค่อนข้างมาก โดยเชื่อว่าหลังจากนี้การลงทุนน่าจะปรับตัวดีขึ้นได้ต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า และภายในปีหน้าดัชนีน่าจะปรับตัวปิดที่ 500-550 จุดได้จากปัจจุบันที่อยู่ในระดับ 400 จุด
ทั้งนี้ ปัจจัยที่น่าจะมีผลทำให้ดัชนีปรับตัวขึ้นได้ในช่วงปลายปีน่าจะเป็นการกระตุ้นการลงทุน จากกองทุน LTF และRMF ในช่วงปลายปี ที่คาดว่าจะมีเงินเข้ามาในตลาดทุนพอสมควร รวมถึงการตั้งแม็ทชิ่งฟันด์ในช่วงที่ผ่านมาด้วย
นายอโศก กล่าวอีกว่า แนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นปีหน้า เชื่อว่าจะมีการแกว่งตัว แต่ในระยะยาวนั้นน่าจะอยู่ในช่วงขาขึ้น หรือ ไซด์เวย์อัพ โดยดัชนีที่คาดการณ์ไว้น่าจะอยู่ที่ประมาณ 600-650 จุด เนื่องจากความน่าสนใจของหุ้นภายในตลาดยังมีอยู่ และราคาในช่วงที่ผ่านมามีการปรับตัวลดลงมาในระดับต่ำมากแล้ว
ทั้งนี้ ผลกระทบที่น่ากังวลหลังจากนี้เป็นเรื่องของปัญหาเศรษฐกิจโลก และสถาบันการเงินในต่างประเทศเป็นหลัก ส่วนเรื่องเงินเฟ้อ คงจะไม่มีผลกระทบเกิดขึ้นแล้ว เนื่องจากราคาน้ำมันปรับตัวลดลงมากในช่วงที่ผ่านมา
“เป็นไปได้ที่จะเป็นอีกแบบปีนี้ที่ช่วงหลังหุ้นมันตกฮวบ ซึ่งไม่มีใครเชื่อว่าจะตกถึง 50% แต่เราตื่นตัว มาแล้ว และข้อดีก็คือทำให้ทุกคนระมัดระวัง ดูเรื่องความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากได้เรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมา”นายอโศกกล่าว
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังน่าจะมีผลกระทบภายในประเทศเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เนื่องจากรัฐบาลยังไม่มีเสถียรภาพมากนัก ซึ่งการดำเนินนโยบายเองยังไม่ชัดเจน ทำให้นักลงทุนยังขาดความเชื่อมั่นพอสมควร อย่างไรก็ตามเชื่อว่าคงจะมีผลกระทบแค่ในระยะสั้น เพราะตลาดรับรู้เรื่องมาเป็นระยะเวลานานมากแล้ว
“การเมืองคงจะต้องใช้เวลา ซึ่งหากจะมีการตั้งถ้าต่อสู้กัน ทั้งเรื่องโฟนอินโฟนเอาท์ ก็จะทำให้ตลาดวิตก แต่เรื่องนี้มีผลกระทบมานานเป็นปีแล้วคงจะเป็นแค่ในระยะสั้นๆ”นายอโศกกล่าว
นายอโศก กล่าวอีกว่า การที่ในปีหน้าการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์จะมีการแกว่งตัวอยู่ในช่วงขาขึ้นนั้น น่าจะเป็นโอกาสดีของนักลงทุน โดยกลยุทธ์ในสถานกาณร์แบบนี้จะต้องทำการเลือกหุ้นที่จะลงทุนและขายทำกำไรในระยะสั้น เป็นช่วงๆ ไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
“การแกว่งตัวข้อดีของมันคือการทำกำไรระยะสั้น แต่ถ้าเห็นเทรนด์ชัดเจนก็จะบายแอนด์โฮลด์ ส่วนถ้ามีการแกว่างตัว อาจจะซื้อตุ้นไว้ก่อนและดูจังหวะที่เป็นราคาเป้าหมายแล้วขายทำกำไร แต่ไม่ใช่เข้าๆ ออกต้องดูให้ดี และเลือกหุ้นที่ขึ้นว่ามัน ปรับตัวได้ในระดับต่ำตามที่ต้องการแล้ว”นายอโศกกล่าว
ทั้งนี้ เชื่อว่ากองทุนที่น่าจะสามารถทำกำไรให้กับนักลงทุนได้ดีในปีหน้า คงจะเป็นกองทุนประเภททาร์เก็ตฟันด์ ซึ่งบริษัทเองมีโปรดักซ์กองทุนประเภทนี้รองรับเอาไว้แล้ว อย่าง K-star ที่จะขายทำกำไรให้กับนักลงทุนทุกครั้งที่ดัชนีมีการปรับตัวขึ้นตามนโยบายของกองทุนที่กำหนดไว้ นอกจากนี้บริษัทยังมีกองทุนหุ้นเอาไว้เป็นทางเลือกให้กับนักลงทุนอีกหลายกองทุน โดยสำหรับนักลงทุนที่ไม่ชอบติดตามสภาวะตลาด สามารถลงทุนได้ในกองทุน SET50 ที่จะลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้เกาะไปตามสภาวะตลาด
