xs
xsm
sm
md
lg

จากเมืองลุงแซมสู่แดนมังกร 2ยักษ์ใหญ่...ผู้ช่วยกอบกู้ศก.โลก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เหมือนเป็นสถานการณ์ที่ดีขึ้นมานิดหน่อยสำหรับเศรษฐกิจโลกเมื่อประเทศสหรัฐได้นาย บารัค โอบามา มาเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ ซึ่งมาพร้อมๆกับความหวังของคนอเมริกันทั้งประเทศที่อยากให้เศรษฐกิจกลับมาดีเหมือนเดิม...ภาระกิจนี้ ดูจะเป็นภาระที่หนักอึ้งและท้าทายอย่างมาก แต่ดูเหมือนว่าวิกฤตที่เกิดขึ้นนี้ เป็นเรื่องที่ใหญ่โตเหลือเกินในการที่จะแก้ไขให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม เพราะสะท้อนได้จากสถาบันการเงินที่วิกฤตหนักจนรัฐบาลประเทศต่างๆต้องเข้าไปให้ความช่วยเหลืออย่างที่ทราบกัน หรือแม้แต่บรรดากองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ขาดทุนจนต้องปิดตัวลงไปกันหลายราย

แต่ยังถือว่าวิกฤตในครั้งนี้...ยังมียักษ์อีกหนึ่งรายที่ยังยืนต้านคลื่นของวิกฤตครั้งนี้ได้อย่างดี นั่นก็คือประเทศจีน พญามังกร ที่ยังคงผงาดอยู่บนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ พร้อมๆกับตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงลิ่วกว่าประเทศใดในโลก จนเป็นที่แน่นอนว่าในอนาคตจะเป็นประเทศหมายเลขหนึ่งของโลกแทนที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งแม้ว่าคลื่นแห่งวิกฤตเศรษฐกิจโลกในครั้งนี้จะซัดกระหนํ่าให้ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน ลดลงมาอยู่ที่เลขตัวเดียวก็ตาม แต่ก็ยังไม่สามารถทำอะไรเศรษฐกิจจีนได้มากมายนัก

เหมือนจะทันทีทันใด ด้วยเงินทุนสำรองในประเทศที่มากมายมหาศาล และเพื่อเป็นการรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจของโลกครั้งนี้ รัฐบาลจีนได้ประกาศแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่ามหาศาลถึง 586,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 4 ล้านล้านหยวน และหากคิดเป็นเงินไทยก็ราว 20 ล้านล้านบาท โดยมีระยะเวลาในการดำเนินงานเป็นเวลา 2 ปีจนถึงสิ้นปี 2553 เพื่อเป็นการปกป้องเศรษฐกิจของประเทศจีน จากพิษเศรษฐกิจที่ลามจากสหรัฐอเมริกาไปทั่วโลก

โดยจำนวนเงินก้อนนี้จีนนำไปใช้ลงทุนในด้านสำคัญๆ ได้แก่ ด้านโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ เช่น ระบบคมนาคมขนส่ง โครงการที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อย ด้านสวัสดิการสังคม การพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานในเขตชนบท การขยายระบบคมนาคมขนส่ง การพัฒนานวัตกรรมทางเทคโนโลยี โครงการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม และการฟื้นฟูพื้นที่ประสบหายนะภัย ซึ่งเป็นแผนกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีขึ้นหลังจากที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนลดลงเหลือเพียง 9 เปอร์เซ็นต์ในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้

นอกเหนือจากนี้รัฐบาลจีนยังได้ดำเนินการปฏิรูป ในเรื่องวิธีการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มที่จะช่วยลดภาษีของแต่ละบริษัทที่ต้องจ่ายลงประมาณปีละ 1.2 แสนล้านหยวน รวมทั้งยกเลิกกำหนดเพดานการปล่อยสินเชื่อของบรรดาธนาคารพาณิชย์ เพื่อให้มีการปล่อยกู้แก่โครงการต่างๆ ตลอดจนพื้นที่ชนบท การควบรวมกิจการ และธุรกิจขนาดกลางและเล็ก ให้มากขึ้น โดยมองกันว่า รัฐบาลใช้มาตรการการคลังในเชิงรุก และด้านนโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลายพอสมควร เพื่อรับประกันถึงการขยายตัวเศรษฐกิจที่รวดเร็ว แต่มีเสถียรภาพ

ขณะที่ สหรัฐอเมริกาเอง ก็ได้ผู้นำประเทศคนใหม่ และเดินหน้าเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจครั้งนี้ในทันที ทำห้สถานการณ์ของ 2 ฝากฝั่งประเทศมหาอำนาจในช่วงนี้จึงถือเป็นที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง เพราะการกระดิกพลิกตัวต่อจากนี้จะส่งผลกระเทือนต่อเศรษฐกิจไปทั่วโลก ซึ่งเรื่องนี้มีมุมมองจากผู้จัดการกองทุนที่กล่าวถึงไว้อย่างน่าสนในมาก

วนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี จำกัด บอกว่า แผนกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนครั้งนี้ เกิดขึ้นเพราะอัตราการเติบโตของประเทศที่ลดลงมาตํ่ากว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งโดยรวมแล้วมาตรการนี้จะส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศไม่ชะลอตัวลงมากจนเกินไป และยังเป็นการทำให้การใช้จ่ายเพื่ออุปโภคบริโภคของประชาชนไม่ลดลงไปด้วย

การที่ประเทศจีนมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งต้องมีการนำเข้าวัสดุอุปกรณ์การก่อสร้างจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก เช่น เหล็ก เป็นต้น ถือเป็นการช่วยให้การส่งออกสินค้าประเภทสิ่งก่อสร้างของบรรดาประเทศผู้ส่งออกสินค้าเหล่านี้ สามารถขายสินค้าเหล่านี้ได้ เพราะจีนถือเป็นประเทศผู้อุปโภคบริโภครายใหญ่รายหนึ่งในโลก เป็นการทำให้ประเทศผู้ส่งออกอย่างสหรัฐอเมริกาและยุโรป มีเงินไหลเข้าประเทศมากขึ้น

ในเรื่องที่จะส่งผลต่อบรรยากาศของการลงทุนนั้น นายวนา บอกว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จีนประกาศออกมานี้ถือว่าเป็นข่าวดีอย่างมากและเมื่อรวมเข้ากับสถานการณ์ของประเทศสหรัฐอเมริกาที่ นายโอบามา ได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและสังคมแล้ว เรียกได้ว่า เป็น "ดับเบิลข่าวดี"

"ต้องมองว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศจีนที่รับตัวลดลงมาเหลือ 9% จากที่ระดับ 10.4% นั้นไม่ได้เป็นเพราะโดนวิกฤตเศรษฐกิจโดยตรงเหมือนกับ สหรัฐฯและยุโรป แต่เป็นเพราะรับกระทบจากการส่งออกจากการที่ สหรัฐฯและยุโรปลดการนำเข้า ขณะที่ตลาดหุ้นก็โดนแรงเทขายอย่างหนักจากนักลงทุนต่างชาติ ทำให้บรรยากาศการลงทุนในจีนลดลง" วนา กล่าว

ทั้งนี้ เมื่อมองไปที่ไปที่จำนวนเงินที่จีนใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งนี้ เป็นจำนวนเงินที่มาก คิดเป็น 1 ใน 5 ของ จีดีพี เมื่อปีที่ผ่านมา เป็นการใช้เงินลงทุนเพื่อเป็นการไม่ให้ จีดีพี ของประเทศลดลงไป เพราะหากลดลงจะส่งผลต่ออัตราการว่างงานและการใช้จ่ายของประชาชนในประเทศ ขณะเดียวกันมาตราการนี้ยังจะส่งผลต่อในเรื่องการลงทุนของประเทศต่างๆในเอเชียด้วย

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อมีข่าวดีก็ยังไม่ได้หมายความว่าข่าวร้ายจะหายไป "วนา" บอกว่า ข่าวร้ายที่อาจจะเห็นต่อจากนี้และส่งผลต่อเนื่องไปถึงการลงทุนในตลาดหุ้นนั้น คือ ข่าวร้ายที่เป็นในลักษณะการออกมาคาดการณ์ของนักวิเคราะห์จากการประกาศผลกำไรของบริษัทต่างๆ ทำให้ราคาหุ้นของบริษัทนั้นอาจปรับตัวลดลง ถือเป็นการทำให้ตลาดหุ้นยังมีความผันผวนอยู่

"วนา" ยังกล่าวในตอนท้ายถึงแนวโน้มของราคานํ้ามันด้วยว่า ในขณะนี้ราคานํ้ามันในตลาดโลกได้มีการปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อใดก็ตามที่ราคานํ้ามันเริ่มปรับตัวสูงขึ้น ถือเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มจะดีขึ้น เช่นเดียวกับตลาดหุ้นที่จะเริ่มส่งสัญญาณให้เห็นล่วงหน้าประมาณ 1 ปีก่อนที่เศรษฐกิจจะเติบโตขึ้น

บารัค โอบามา
หู จิน เทา
วนา พูลผล
กำลังโหลดความคิดเห็น