บลจ.กรุงไทย ชี้อานิสงส์วิกฤตการเงิน หนุนกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น ระบุเฉพาะทุกกองสำรองเลี้ยงชีพของบริษัทถือบอนด์รวมกันกว่า87% จากเม็ดเงิน 2 แสนล้านบาท แนะนำลงทุนบอนด์ในประเทศเพราะมีความเสี่ยงต้ำ แต่ต้องพิจารณานโยบายลงทุนให้ถี่ถ้วน ยืนยันเอ็นเอวีกองบอนด์เกาหลีหดตัว ไม่น่าวิตก เหตุจบโครงการรับเงินต้นคืนครบ พร้อมผลตอบแทน
นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด หรือ KTAM กล่าวถึงภาวการณ์ลงทุนในตราสารหนี้ขณะนี้ว่า ต้องยอมรับทุนการลงทุนขณะนี้มีความผันผวนสูง ดังนั้นทางบริษัทมองว่าการลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศช่วงนี้ จะเป็นโอกาสที่ดี เนื่องจากมีความเสี่ยงต่ำ และมีความมั่นคงสูง ล่าสุดบลจ.กรุงไทยได้เปิดขาย 2 กองทุนตราสารหนี้ใหม่ เพื่อเพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้ลงทุนที่สนใจ
“สถานการณ์ในขณะนี้เหมาะกับการลงทุนในตราสารหนี้ เพราะผลตอบแทนและระยะเวลาในการลงทุนมีความแน่นอน อีกทั้งในช่วงนี้คนส่วนมากจะให้ความสนใจกับกองทุนตราสารหนี้ ในรูปแบบกองรวมเพื่อกรเลี้ยงชีพ (อาร์เอ็มเอฟ) และล่าสุดภาครัฐได้เพิ่มวงเงินลดหย่อนภาษีเพิ่มขึ้นจากเดิม 3 แสนบาทเป็น 5 แสนบาทในช่วงไตรมาส1 และขณะนี้ได้ปรับเพิ่มเป็น 7 แสนบาท ดังนั้นคนที่มีรายได้มาก ควรเริ่มทยอยเข้าลงทุนผ่านกองทุนประเภทดังกล่าวเพื่อรัยสิทธิประโยชน์ทางภาษีได้แล้ว เพราะจะดีกว่าการเข้าลงทุนในช่วงสิ้นปีซึ่งอาจต้องจ่ายมากกว่า”นายสมชัย กล่าว
ทั้งนี้ จากภาวะดังกล่าว พบว่านักลงทุนส่วนมากให้ความสนใจลงทุนผ่านตราสารหนี้มากขึ้น โดยในส่วนของบลจ.กรุงไทย กรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า เฉพาะในส่วนของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่บริษัทบริหาร ซึ่งมีเม็ดเงินรวมกันกว่า 200,000 ล้านบาทนั้น ปัจจุบันเม็ดเงินกว่า 87% หรือประมาณ 174,000ล้านบาทจะเป็นการลงทุนในตรสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศ
สำหรับผู้ที่กังวลในเรื่องการลงทุนในตราสารหนี้เกาหลี ซึ่งขณะนี้มีบางโครงการ มูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) ปรับตัวลดลงจาก 10.00 บาท เหลือเพียงประมาณ 8.00 บาทนั้น นายสมชัย กล่าวว่า ขอให้นักลงทุนอย่างได้กังวล เพราะกองทุนเหล่านี้ได้มีการประกันความเสี่ยง (เฮดจิ้ง) 100% ดังนั้นเมื่อครบกำหนดผู้ลงทุนก็จะได้รับเงินลงทุนคืนในจำนวนเท่าเดิม พร้อมกับอัตราผลตอบแทนที่แต่ละโครงการกำหนดไว้
อย่างไรก็ตาม ส่วนที่น่าเป็นห่วงนั่นคือ กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (เอฟไอเอฟ) ที่ไปลงทุนในตราสารหนี้ของประเทศออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เนื่องจากไม่ได้มีการปิดความเสี่ยงไว้หมด เพราะต้องการสร้างผลตอบแทนในระดับสูงถึง6% ดังนั้นจึงมีความผันผวนในอัตราแลกเปลี่ยนมาเป็นผลกระทบต่อผู้ลงทุนด้วย เมื่อครบกำหนดโครงการ
ปัจจุบัน บลจ.กรุงไทยมีเม็ดเงินลงทุนผ่านกองทุนเอฟไอเอฟที่ลงทุนในตราสารหนี้เกาหลีอยู่ประมาณ 23,000 ล้านบาท จากเม็ดเงินลงทุนในทุกบลจ.รวม 200,000 ล้านบาท
“ต้องยอมรับว่าตราสารหนี้ระยะสั้นขณะนี้ ได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนเป็นจำนวนมาก และจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย ซึ่งล่าสุดเฟด (ธนาคารกลางสหรัฐ)ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.5% เหลือ 1% ดังนั้นการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นอายุประมาณ 6 เดือนน่าจะมีความเหมาะสมกับสถานการณ์ในช่วงนี้”นายสมชัย กล่าว
ขณะเดียวกัน วิธีในการตัดสินเลือกซื้อหน่วยลงทุนตราสารหนี้ในปัจจุบัน กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย แนะนำว่า ผู้ลงทุนต้องพิจารณาว่ากองทุนดังกล่าวลงทุนในสินค้าประเภทใด ถ้าเป็นกองทุนประเภทคุ้มครองเงินต้น จะเน้นการลงทุนในตราสารภาครัฐ พันธบัตรรัฐบาล ซึ่งจะมีความเสี่ยงในการลงทุนที่ต่ำ หากสนใจกองทุนในกองทุนตราสารหนี้ทั่วไป ต้องดูที่นโยบายในการลงทุน และสินค้าที่กองทุนนี้จะถือไว้
รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อเร็วๆนี้ บลจ.กรุงไทย ได้เปิดจำหน่ายอีก 2 กองทุนตราสารพนี้ในประเทศ ได้แก่ กองทุนเปิดกรุงไทยประจำ 3 เดือนคุ้มครองเงินต้น 2 (KTFIX3M2) และกองทุนเปิดกรุงไทยธนทรัพย์ 6 เดือน 3 (KTSUP6M3) ในระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม - 4 พฤศจิกายน 2551 ทั้งนี้ ผู้ลงทุนที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขาทั่วประเทศ
โดยกองทุน KTFIX3M2 เป็นกองทุนที่เปิดให้ผู้ลงทุนสามารถซื้อ-ขายหน่วยลงทุนได้ทุกรอบระยะเวลา 3 เดือน มูลค่าโครงการ 5,000 ล้านบาท และเป็นกองทุนที่มีนโยบายคุ้มครองเงินลงทุน โดยกองทุนจะลงทุนในตราสารที่มุ่งให้เกิดความคุ้มครองเงินต้นได้แก่ ตราสารหนี้ภาครัฐ ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น TB09204A ในสัดส่วนการลงทุนประมาณ 60% และลงทุนในเงินฝากของธนาคารเอเชียและธนาคารเกียรตินาคิน สัดส่วน 40% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ส่งผลให้กองทุนสามารถให้อัตราผลตอบแทนอยู่ที่ 3.20% ต่อปี
ส่วนกองทุน KTSUP6M3 อายุโครงการ 6 เดือนมูลค่าโครงการ 5,000 ล้านบาท เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนตราสารหนี้ในประเทศ ที่บริษัทพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นตราสารแห่งหนี้ที่มีคุณภาพ ให้ผลตอบแทนที่ดีและมีความมั่นคงสูง โดยมีสัดส่วนการลงทุนดังนี้ คือ กองทุนจะลงในเงินฝาก/บัตรเงินฝากธนาคารสินเอเชียและธนาคารเกียรตินาคิน ในสัดส่วน 40% ส่วนที่เหลือจะลงทุนในตั๋วแลกเงินของ บมจ.ไทคอนอินดัสเตรียล คอนเน็คชั่น, บมจ.ควอลิตี้เฮาส์ และ บมจ.บัตรกรุงไทย ในสัดส่วน 60% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุนสามารถให้อัตราผลตอบแทนที่ 3.70% ต่อปี ซึ่งการลงทุนในกองทุนดังกล่าว ไม่มีการเสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย 15%