กบข.ประเมินวิกฤตสหรัฐฯ ฉุดบริษัทจดทะเบียนไทยจ่ายปันผลน้อยลง เหตุแบงก์คุมเข้มปล่อยกู้ เข้าถึงแหล่งเงินลำบาก ต้องนำกำไรสะสมมาใช้เป็นทุนหมุนเวียน ชี้หุ้นถูกต่ำกว่าบุ๊คแวลู แต่ก็ต้องคิดเมื่อปันผลได้น้อย เช่นเดียวกับกับธุรกิจส่งออกและท่องเที่ยวที่จะได้รับผลกระทบจากดีมานด์ที่ลดลง จี้รัฐเร่งลงทุนในประเทศโดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐาน คาดสิงคโปร์ เกาหลี ยุโรปตะวันออก เป็นรายต่อไปที่วิกฤตจะลุกลามมากขึ้น พร้อมยอมรับผลคตอบแทนปีนี้ไม่เป็นบวกเท่าปี50 ซึ่งสูงถึง9%
นายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กล่าวในงานสมัมนา “ผลกระทบจากเงินทุนเคลื่อนย้ายที่มีต่อตลาดทุนและตลาดเงินของไทย” ว่าในปีหน้าจากวิกฤตสถานบันการเงินในสหรัฐฯ และยุโรป จะส่งผลให้การส่งออกของไทยชะลอตัวลง จากดีมานด์ความต้องการทั่วโลกที่ลดลง ซึ่งจะมีผลต่อต่อการเจริญเติบโตของประเทศ ขณะเดียวกันธุรกิจท่องเที่ยวซึ่งนับว่าเป็นอีกช่องทางรายได้ที่สร้างเม็ดเงินจำนวนมาก ก็จะได้รับผลกระทบจากวิกฤตครั้งนี้
นอกจากนี้ในส่วนของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) หรือ บริษัททั่วไป หากต้องการมีเงินสูง หรือเตรียมเก็บเงินสดไว้ใช้ในปีหน้า ซึ่งอาจส่งผลให้ในปี 2552 บรรดาบริษัทจดทะเบียนอาจจะไม่สามารถจ่ายปันผลได้เท่าเดิม เพราะจะต้องนำกำไรสะสม หรือเงินปันผลเหล่านี้ไปใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ เนื่องจากช่องทางการหาแหล่งเงินกู้ในการดำเนินธุรกิจจะยากลำบากยิ่งขึ้น จากบรรดาธนาคารพาณิชย์ ควบคุมการปล่อยสินเชื่ออย่างหนัก ดังนั้นแม้หุ้นไทยในช่วงนี้จะถูกน่าลงทุน แต่ก็ต้องคำนึงถึงอัตราการจ่ายปันผลที่จะลดลงด้วย
“หุ้นไทยตอนนี้P/E ลดลงมาเหลือประมาณ 7 เท่า ซึ่งใกล้เคียงกับปี 2003 ที่ขณะนั้นดัชนีตลาดหลักทรัพย์อยู่ที่ประมาณ 400 จุดเช่นกัน วันนี้ตลาดหุ้นไทย และตลาดเกิดใหม่ (อีเมอร์จิ้งมาร์เก็ต) จะพึ่งพาการซื้อและการลงทุนของนักลงทุนในประเทศเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องพึ่งพาการลงทุนของต่างประเทศมากพอสมควร ขณะเดียวกันราคาหุ้นปัจจุบันนี้ต่ำกว่าบุ๊คแวลู ซึ่งเราต้องยอมรับว่าเป็นผลกระทบที่มากและต้องใช้ระยะเวลา เพราะเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นทั่วโลก”เลขาธิการ กบข. กล่าว
ทั้งนี้ นายวิสิฐ กล่าวย้ำว่า สิ่งสำคัญที่ไทยต้องเร่งดำเนินการนั่นคือ ขยายการลงทุนในประเทศ เร่งลงทุนในโครงการสาธารณูปโภค โครงสร้างพื้นฐาน และหันกลับมาพึ่งพิงเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ตนเอง ส่วนหุ้นต้องเลือกลงทุนผ่านบริษัทที่มีเงินสดเยอะ หนี้น้อยเพื่อสามารถรองรับการดำเนินธุรกิจในปีหน้าได้อย่างเพียงพอ
อย่างไรก็ตาม หากกล่าวถึงผลกระทบ ณ ปัจจุบันนี้ เลขาธิการกบข. กล่าวว่า จากที่หลายธนาคารกลางทั่วโลกออกมาร่วมมือกันเพิ่มสภาพคล่องในตลาด รวมถึงการค้ำประกันเงินสด ซึ่งสร้างความมั่นใจในตลาดเงินแก่ประชาชน ทำให้เชื่อว่าในระยะยาวจะเกิดการปรับเปลี่ยนโครงสร้างสถาบันการเงินครั้งใหญ่ ซึ่งจะถูกควบคุมและมีกำหนดกฎเกณฑมากขึ้น จากเดิมที่เคยมีอิสระอยู่มาก
ขณะที่ในแง่ทุนสำรอง ประเทศในแถบเอเชียโดยเฉพาะจีนการเกินดุลบัญชีสูงมาก ซึ่งส่งผลให้ทุนสำรองของประเทศเหล่านี้มีการเติบโตในระดับสูง โดยประเทศไทยมีทุนสำรองอยู่ประมาณ 1แสนล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งนับว่าอยู่ในระดับสูงและไม่น่าเป็นห่วง ดังนั้นจึงเชื่อว่าประเทศไทยจะไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตที่เกิดขึ้นขณะนี้มากนัก
ส่วนประเทศที่น่ากังวล นายวิสิฐ ประเมินว่า ประเทศที่น่าเป็นห่วงในเอเชียขณะนี้ คือ สิงคโปร์ เกาหลี เพราะอยู่ในภาวะดังกล่าวแล้ว เช่นเดียวกับกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออก เพราะหากประสบปัญหากลุ่มประเทศเหล่านี้จะได้รับผลกระทบมากกว่ากลุ่มประเทศยุโรปตะวันตก เนื่องจากมีฐานการเงิน และแหล่งเงินทุนสำรองน้อยกว่า
"ปัญหาในประเทศและต่างประเทศที่ส่งผลกระทบเศรษฐกิจไทยมีน้ำหนักเท่ากัน หากการเมืองยังไม่คลี่คลาย จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาว รัฐบาลต้องเร่งแก้ปัญหา สิ่งที่พอจะทุเลาปัญหาได้ คือ เร่งให้เกิดความต้องการซื้อในประเทศ“
สำหรับการลงทุนของ กบข.ในช่วงนี้จะหันมาถือเงินสดมากขึ้น เพื่อป้องกันความเสี่ยงและรอจังหวะการลงทุนในช่วงที่เหมาะสมเพื่อหาโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดี โดยการลงทุนในตลาดหุ้นของกบข.เน้นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง จ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอ ฐานะทางบัญชีมั่นคง ซึ่งส่วนใหญ่ให้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ย 4% จากเดิมที่การลงทุนให้น้ำหนักกับหุ้นที่มีการเติบโต ในสัดส่วน 12% ของมูลค่าสินทรัพย์ แต่จะเริ่มลดลงโดยหันมาถือเงินสดมากขึ้น 1.2% และเพิ่มน้ำหนักลงทุนในตราสารหนี้มากขึ้น
“ผลตอบแทนของกองทุนในปีนี้คงจะไม่เป็นบวก เมื่อเทียบกับปีก่อนซึ่งมีผลตอบแทนเป็นบวก 9% แต่แม้ในปีนี้จะลดลง หรือเป็นลบก็สามารถนำผลตอบแทนในอดีตมาชดเชยได้ โดยตอนนี้กบข.ได้ปรับลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไทย ลงเหลือ 8% จากต้นปีซึ่งอยู่ที่ระดับ 11% ส่วนการลงทุนในหุ้นต่างประเทศเหลือ 7-8% จากต้นปีซึ่งอยู่ที่ระดับ 9%”นายวิสิฐกล่าว
นายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กล่าวในงานสมัมนา “ผลกระทบจากเงินทุนเคลื่อนย้ายที่มีต่อตลาดทุนและตลาดเงินของไทย” ว่าในปีหน้าจากวิกฤตสถานบันการเงินในสหรัฐฯ และยุโรป จะส่งผลให้การส่งออกของไทยชะลอตัวลง จากดีมานด์ความต้องการทั่วโลกที่ลดลง ซึ่งจะมีผลต่อต่อการเจริญเติบโตของประเทศ ขณะเดียวกันธุรกิจท่องเที่ยวซึ่งนับว่าเป็นอีกช่องทางรายได้ที่สร้างเม็ดเงินจำนวนมาก ก็จะได้รับผลกระทบจากวิกฤตครั้งนี้
นอกจากนี้ในส่วนของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) หรือ บริษัททั่วไป หากต้องการมีเงินสูง หรือเตรียมเก็บเงินสดไว้ใช้ในปีหน้า ซึ่งอาจส่งผลให้ในปี 2552 บรรดาบริษัทจดทะเบียนอาจจะไม่สามารถจ่ายปันผลได้เท่าเดิม เพราะจะต้องนำกำไรสะสม หรือเงินปันผลเหล่านี้ไปใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ เนื่องจากช่องทางการหาแหล่งเงินกู้ในการดำเนินธุรกิจจะยากลำบากยิ่งขึ้น จากบรรดาธนาคารพาณิชย์ ควบคุมการปล่อยสินเชื่ออย่างหนัก ดังนั้นแม้หุ้นไทยในช่วงนี้จะถูกน่าลงทุน แต่ก็ต้องคำนึงถึงอัตราการจ่ายปันผลที่จะลดลงด้วย
“หุ้นไทยตอนนี้P/E ลดลงมาเหลือประมาณ 7 เท่า ซึ่งใกล้เคียงกับปี 2003 ที่ขณะนั้นดัชนีตลาดหลักทรัพย์อยู่ที่ประมาณ 400 จุดเช่นกัน วันนี้ตลาดหุ้นไทย และตลาดเกิดใหม่ (อีเมอร์จิ้งมาร์เก็ต) จะพึ่งพาการซื้อและการลงทุนของนักลงทุนในประเทศเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องพึ่งพาการลงทุนของต่างประเทศมากพอสมควร ขณะเดียวกันราคาหุ้นปัจจุบันนี้ต่ำกว่าบุ๊คแวลู ซึ่งเราต้องยอมรับว่าเป็นผลกระทบที่มากและต้องใช้ระยะเวลา เพราะเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นทั่วโลก”เลขาธิการ กบข. กล่าว
ทั้งนี้ นายวิสิฐ กล่าวย้ำว่า สิ่งสำคัญที่ไทยต้องเร่งดำเนินการนั่นคือ ขยายการลงทุนในประเทศ เร่งลงทุนในโครงการสาธารณูปโภค โครงสร้างพื้นฐาน และหันกลับมาพึ่งพิงเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ตนเอง ส่วนหุ้นต้องเลือกลงทุนผ่านบริษัทที่มีเงินสดเยอะ หนี้น้อยเพื่อสามารถรองรับการดำเนินธุรกิจในปีหน้าได้อย่างเพียงพอ
อย่างไรก็ตาม หากกล่าวถึงผลกระทบ ณ ปัจจุบันนี้ เลขาธิการกบข. กล่าวว่า จากที่หลายธนาคารกลางทั่วโลกออกมาร่วมมือกันเพิ่มสภาพคล่องในตลาด รวมถึงการค้ำประกันเงินสด ซึ่งสร้างความมั่นใจในตลาดเงินแก่ประชาชน ทำให้เชื่อว่าในระยะยาวจะเกิดการปรับเปลี่ยนโครงสร้างสถาบันการเงินครั้งใหญ่ ซึ่งจะถูกควบคุมและมีกำหนดกฎเกณฑมากขึ้น จากเดิมที่เคยมีอิสระอยู่มาก
ขณะที่ในแง่ทุนสำรอง ประเทศในแถบเอเชียโดยเฉพาะจีนการเกินดุลบัญชีสูงมาก ซึ่งส่งผลให้ทุนสำรองของประเทศเหล่านี้มีการเติบโตในระดับสูง โดยประเทศไทยมีทุนสำรองอยู่ประมาณ 1แสนล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งนับว่าอยู่ในระดับสูงและไม่น่าเป็นห่วง ดังนั้นจึงเชื่อว่าประเทศไทยจะไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตที่เกิดขึ้นขณะนี้มากนัก
ส่วนประเทศที่น่ากังวล นายวิสิฐ ประเมินว่า ประเทศที่น่าเป็นห่วงในเอเชียขณะนี้ คือ สิงคโปร์ เกาหลี เพราะอยู่ในภาวะดังกล่าวแล้ว เช่นเดียวกับกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออก เพราะหากประสบปัญหากลุ่มประเทศเหล่านี้จะได้รับผลกระทบมากกว่ากลุ่มประเทศยุโรปตะวันตก เนื่องจากมีฐานการเงิน และแหล่งเงินทุนสำรองน้อยกว่า
"ปัญหาในประเทศและต่างประเทศที่ส่งผลกระทบเศรษฐกิจไทยมีน้ำหนักเท่ากัน หากการเมืองยังไม่คลี่คลาย จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาว รัฐบาลต้องเร่งแก้ปัญหา สิ่งที่พอจะทุเลาปัญหาได้ คือ เร่งให้เกิดความต้องการซื้อในประเทศ“
สำหรับการลงทุนของ กบข.ในช่วงนี้จะหันมาถือเงินสดมากขึ้น เพื่อป้องกันความเสี่ยงและรอจังหวะการลงทุนในช่วงที่เหมาะสมเพื่อหาโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดี โดยการลงทุนในตลาดหุ้นของกบข.เน้นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง จ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอ ฐานะทางบัญชีมั่นคง ซึ่งส่วนใหญ่ให้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ย 4% จากเดิมที่การลงทุนให้น้ำหนักกับหุ้นที่มีการเติบโต ในสัดส่วน 12% ของมูลค่าสินทรัพย์ แต่จะเริ่มลดลงโดยหันมาถือเงินสดมากขึ้น 1.2% และเพิ่มน้ำหนักลงทุนในตราสารหนี้มากขึ้น
“ผลตอบแทนของกองทุนในปีนี้คงจะไม่เป็นบวก เมื่อเทียบกับปีก่อนซึ่งมีผลตอบแทนเป็นบวก 9% แต่แม้ในปีนี้จะลดลง หรือเป็นลบก็สามารถนำผลตอบแทนในอดีตมาชดเชยได้ โดยตอนนี้กบข.ได้ปรับลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไทย ลงเหลือ 8% จากต้นปีซึ่งอยู่ที่ระดับ 11% ส่วนการลงทุนในหุ้นต่างประเทศเหลือ 7-8% จากต้นปีซึ่งอยู่ที่ระดับ 9%”นายวิสิฐกล่าว