บลจ.เอ็มเอฟซี กำเงินสดรอจังหวะซื้อหุ้น หลังประเมินตลาดยังผันผวนต่ออีกระยะ ระบุหุ้นกลุ่มแบงก์น่าสน เพราะฐานะแข็งแกร่ง หากเทียบกับยุโรป-สหรัฐฯ ส่วนหุ้นบิ้กแคปลงทุนได้ แต่อย่าคาดหวังแคปปิตอลเกนระยะนี้ ด้าน “กองทุนวายุภักษ์ 1” ยังไม่น่าห่วง เหตุได้กำไรสะสมชดเชย
นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFC เปิดเผยว่า กลยุทธ์การลงทุนกองทุนหุ้นของเราในช่วงที่ผ่านมา ได้ลดสัดส่วนการถือครองหุ้นลดลง และหันมาเพิ่มสัดส่วนการถือเงินสดมากขึ้น เนื่องจากเรายังมองว่า การลงทุนในตลาดหุ้นไทยจะยังผันผวนต่อไประยะ ก่อนจะดีกลับขึ้นมา ดังนั้น เราจึงถือเงินสดไว้รอจังหวะเข้าไปซื้อ
โดยหุ้นที่น่าสนใจนั้น มองว่าหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชน์เอง ก็เซกเตอร์ที่สามารถลงทุนได้เช่นกัน เพราะหากเทียบกับหุ้นของสถาบันการเงินในยุโรปและสหรัฐฯ ของเราดีกว่าแน่นอน เพราะด้วยฐานะทางการเงินเองยังแข็งแกร่ง มีการตั้งสำรองสูง ส่วนหุ้นกลุ่มอื่นๆ ก็น่าจะเป็นหุ้นที่ไม่เกี่ยวข้องกับความผันผวนของโลก เช่น หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคในประเทศ
ส่วนหุ้นบลูชิปหรือหุ้นบิ๊กแคปเองก็ยังน่าสนใจ เพราะหลายตัวราคาต่ำกว่าพื้นฐานค่อนข้างมาก แต่หากจะลงทุนเพื่อหวังแคปปิตอลเกนหรือกำไรส่วนต่างในช่วงนี้ อาจจะต้องรอนานหน่อย อย่างไรก็ตาม หุ้นบิ๊กแคปหลายตัว ก็ยังสามารถจ่ายปันผลได้ดีอยู่
นายพิชิตกล่าวว่า การที่ตลาดหุ้นไทยร่วงลงอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา เพราะอยู่ในช่วงที่นักลงทุนกำลังตื่นตระหนก ซึ่งหากเทียบกับวิกฤตเศรษฐกิจในช่วงปี 2540 แล้ว ถือว่าช่วงนั้นตลาดหุ้นไทยแย่จริงๆ เพราะเกิดขึ้นกับประเทศเราเอง ประกอบกับเงินทุนสำรองของประเทศไม่มีเหลืออยู่เลย แต่ปัจจุบัน เราถือว่าค่อนข้างห่างจากช่วงนั้นมาก เรามีเงินสำรองเป็นแสนล้าน บริษัทจดทะเบียนเองก็ยังกำไรดี สามารถจ่ายปันผลได้ต่อเนื่องเฉลี่ย 7% ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูง ในขณะที่ P/E อยู่ที่ 8 เท่า ซึ่งถือว่าถูกมาก
“ประเมินว่าตลาดหุ้นไทยจะยังผันผวนต่อไปอีกสักระยะ โดยในช่วงนี้เป็นจังหวะที่น่าลงทุนสำหรับใครที่มีเงินเย็น แล้วเลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี รายได้มั่นคง สามารถทำกำไรในระยะยาวได้ดี”นายพิชิตกล่าว
นายพิชิตกล่าวว่า ผลกระทบจากวิกฤตการเงินที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ คาดเดาได้ยากว่าในช่วง 3 เดือนหลังจากนี้ การลงทุนในตลาดหุ้นของสหรัฐเองจะเป็นอย่างไร เพราะตอนนี้กำลังประเมินเศรษฐกิจจริงของสหรัฐฯ อยู่ว่า มีความเสียหายมากน้อยแค่ไหน ซึ่งต่างจากเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยุโรป และญี่ปุ่น ที่จะเห็นได้ชัดเจนมากกว่า ในขณะเดียวกันก็จะเริ่มนิ่งมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะดีดกลับมาทันที แต่จะไม่แย่ไปกว่านี้แล้วเท่านั้น
สำหรับไทยเอง มองว่ากระแสเงินทุนไหลออกจะยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง แต่ก็เป็นช่วงที่น่าลงทุนระยะยาวในการเก็บหุ้นราคาถูก
ทั้งนี้ ในส่วนของกองทุนรวมวายุภักษ์ 1 นั้น ไม่ได้รับผลกระทบจากการที่ดัชนีหุ้นปรับตัวลดลงมากนัก เนื่องจากกองทุนเองมีกำไรสะสมอยู่พอสมควร ซึ่งเป็นส่วนของกระทรวงการคลัง ดังนั้น ในช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลง กระทรวงการคลังจึงต้องรับภาระนั่นไป ด้วยการนำมาชดเชยให้นักลงทุนรายย่อย
นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFC เปิดเผยว่า กลยุทธ์การลงทุนกองทุนหุ้นของเราในช่วงที่ผ่านมา ได้ลดสัดส่วนการถือครองหุ้นลดลง และหันมาเพิ่มสัดส่วนการถือเงินสดมากขึ้น เนื่องจากเรายังมองว่า การลงทุนในตลาดหุ้นไทยจะยังผันผวนต่อไประยะ ก่อนจะดีกลับขึ้นมา ดังนั้น เราจึงถือเงินสดไว้รอจังหวะเข้าไปซื้อ
โดยหุ้นที่น่าสนใจนั้น มองว่าหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชน์เอง ก็เซกเตอร์ที่สามารถลงทุนได้เช่นกัน เพราะหากเทียบกับหุ้นของสถาบันการเงินในยุโรปและสหรัฐฯ ของเราดีกว่าแน่นอน เพราะด้วยฐานะทางการเงินเองยังแข็งแกร่ง มีการตั้งสำรองสูง ส่วนหุ้นกลุ่มอื่นๆ ก็น่าจะเป็นหุ้นที่ไม่เกี่ยวข้องกับความผันผวนของโลก เช่น หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคในประเทศ
ส่วนหุ้นบลูชิปหรือหุ้นบิ๊กแคปเองก็ยังน่าสนใจ เพราะหลายตัวราคาต่ำกว่าพื้นฐานค่อนข้างมาก แต่หากจะลงทุนเพื่อหวังแคปปิตอลเกนหรือกำไรส่วนต่างในช่วงนี้ อาจจะต้องรอนานหน่อย อย่างไรก็ตาม หุ้นบิ๊กแคปหลายตัว ก็ยังสามารถจ่ายปันผลได้ดีอยู่
นายพิชิตกล่าวว่า การที่ตลาดหุ้นไทยร่วงลงอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา เพราะอยู่ในช่วงที่นักลงทุนกำลังตื่นตระหนก ซึ่งหากเทียบกับวิกฤตเศรษฐกิจในช่วงปี 2540 แล้ว ถือว่าช่วงนั้นตลาดหุ้นไทยแย่จริงๆ เพราะเกิดขึ้นกับประเทศเราเอง ประกอบกับเงินทุนสำรองของประเทศไม่มีเหลืออยู่เลย แต่ปัจจุบัน เราถือว่าค่อนข้างห่างจากช่วงนั้นมาก เรามีเงินสำรองเป็นแสนล้าน บริษัทจดทะเบียนเองก็ยังกำไรดี สามารถจ่ายปันผลได้ต่อเนื่องเฉลี่ย 7% ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูง ในขณะที่ P/E อยู่ที่ 8 เท่า ซึ่งถือว่าถูกมาก
“ประเมินว่าตลาดหุ้นไทยจะยังผันผวนต่อไปอีกสักระยะ โดยในช่วงนี้เป็นจังหวะที่น่าลงทุนสำหรับใครที่มีเงินเย็น แล้วเลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี รายได้มั่นคง สามารถทำกำไรในระยะยาวได้ดี”นายพิชิตกล่าว
นายพิชิตกล่าวว่า ผลกระทบจากวิกฤตการเงินที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ คาดเดาได้ยากว่าในช่วง 3 เดือนหลังจากนี้ การลงทุนในตลาดหุ้นของสหรัฐเองจะเป็นอย่างไร เพราะตอนนี้กำลังประเมินเศรษฐกิจจริงของสหรัฐฯ อยู่ว่า มีความเสียหายมากน้อยแค่ไหน ซึ่งต่างจากเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยุโรป และญี่ปุ่น ที่จะเห็นได้ชัดเจนมากกว่า ในขณะเดียวกันก็จะเริ่มนิ่งมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะดีดกลับมาทันที แต่จะไม่แย่ไปกว่านี้แล้วเท่านั้น
สำหรับไทยเอง มองว่ากระแสเงินทุนไหลออกจะยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง แต่ก็เป็นช่วงที่น่าลงทุนระยะยาวในการเก็บหุ้นราคาถูก
ทั้งนี้ ในส่วนของกองทุนรวมวายุภักษ์ 1 นั้น ไม่ได้รับผลกระทบจากการที่ดัชนีหุ้นปรับตัวลดลงมากนัก เนื่องจากกองทุนเองมีกำไรสะสมอยู่พอสมควร ซึ่งเป็นส่วนของกระทรวงการคลัง ดังนั้น ในช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลง กระทรวงการคลังจึงต้องรับภาระนั่นไป ด้วยการนำมาชดเชยให้นักลงทุนรายย่อย