ไฟแนนเชียลไทมส์/เอเอฟพี - อเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป (เอไอจี) ได้รับความสนใจอย่างท่วมท้นจากบรรดานักลงทุนผู้คำนึงถึงผลเชิงยุทธศาสตร์ ภายหลังประกาศว่าจะตัดแบ่งขายสินทรัพย์ชั้นเยี่ยมของตนในเอเชีย ซึ่งรวมถึงหุ้นราว 49% ของเอไอเอ อันเป็นผู้นำด้านกิจการประกันชีวิตในภูมิภาคแถบนี้ มาร์ก วิลสัน ประธานบริหารฝ่ายปฏิบัติการด้านประกันชีวิตในเอเชีย-แปซิฟิก ของกลุ่มประกันภัยยักษ์ใหญ่ที่กำลังประสบปัญหาหนักแห่งนี้เปิดเผยในวันอาทิตย์(5) และล่าสุด ซีอีโอของสาขาเอไอจีในฟิลิปปินส์แถลงวานนี้(6) บริษัทแม่ตัดสินใจขายสาขาในแดนตากาล็อกซึ่งเป็นกิจการดีเยี่ยมอีกทั้งทำกำไรงดงามมากแห่งนี้แล้ว
วิลสันกล่าวในการให้สัมภาษณ์วันอาทิตย์ และหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์นำมารายงานในฉบับวานนี้ว่า มีกลุ่มต่างๆ สิบกว่ากลุ่มติดต่อทาบทามทางเอไอจี ภายหลังเอไอจีประกาศที่นิวยอร์กในวันศุกร์(3)ว่า มีโครงการนำกิจการในเครือจำนวนมากออกมาตัดแบ่งขาย เพื่อหาเงินไปชดใช้เงินกู้ที่ได้จากทางการสหรัฐฯ
"เราได้รับความสนใจในเบื้องต้นจากผู้ที่มีศักยภาพในการเข้าร่วมเสนอราคาเป็นจำนวนมากมายกว้างขวางยิ่ง" วิลสันบอก
เขาไม่ยอมเอ่ยนามของผู้ที่แสดงความสนใจเหล่านี้ ทว่าพวกนักเจรจาทำดีลในเอเชียระบุไว้ในรายงานภายในว่า บริษัทประกันภัย, กลุ่มกิจการธนาคาร, กองทุนความมั่งคั่งภาครัฐ, และบริษัทเพื่อการลงทุนภาคเอกชน จำนวนรวมเป็นสิบๆ ราย กำลังจับจ้องอยากจะได้ถือหุ้นในเอไอเอ อันเป็นกิจการด้านการประกับชีวิตชั้นนำในเอเชีย-แปซิฟิก และก็เป็นเสาหลักสำคัญของธุรกิจของเอไอจีมากว่าร้อยปีแล้ว
ทั้งนี้เอไอจีตั้งใจที่จะปล่อยหุ้นเอไอเอออกมาในจำนวนซึ่งอาจจะสูงถึง 49% ซึ่งพวกนักวิเคราะห์ทำนายว่าน่าจะทำเงินได้ประมาณ 20,000 ล้านดอลลาร์ทีเดียว
การที่นักลงทุนให้ความสนใจอย่างล้นหลามเช่นนี้ นอกจากสะท้อนให้เห็นถึงพลานุภาพในการสร้างรายได้ของเอไอเอ ยังชี้ถึงความเต็มอกเต็มใจที่จะจ่ายมูลค่าเพิ่มขึ้นสำหรับโอกาสอันหาได้ยากในการได้ครอบครองหุ้นในบริษัทซึ่งปักหลักมั่นคงในตลาดซึ่งมีอัตราเติบโตรวดเร็วที่สุดในโลกสำหรับกิจการประกันชีวิต
เอไอเอนั้นมีลูกค้าถือกรมธรรม์รวม 20 ล้านรายใน 13 ตลาดทั่วเอเชีย-แปซิฟิก ยกเว้นญี่ปุ่น โดยที่มีตัวแทนขายประกันจำนวนราว 200,000 คน และสามารถทำกำไรจาการดำเนินงานโดยรวมได้ประมาณ 2,000 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว
นอกจากนั้น บริษัทยังมีพอร์ตด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ทั้งกว้างขวางและเตะตาอย่างยิ่ง
วิลสันซึ่งดำรงตำแหน่งประธานบริหารของเอไอเอด้วย บอกว่าเอไอจีอาจจะขายหุ้นข้างน้อยจำนวนหนึ่งให้แก่นักลงทุนหลายๆ ราย
เอไอจีได้ว่างจ้าง แบล็กสโตน กับ เจพีมอร์แกน มาทำหน้าที่ให้คำแนะนำในการตัดแบ่งขายกิจการคราวนี้ แต่วิลสันบอกว่าอาจจะมีการตั้งแต่วาณิชธนกิจรายอื่นๆ มาเป็นที่ปรึกษาเพิ่มเติมได้อีก
การขายสินทรัพย์ในเอเชียนี้ ถือเป็นสินทรัพย์ก้อนใหญ่โตที่สุดในโครงการตัดแบ่งขายสินทรัพย์ของเอไอจี ซึ่งบริษัทจำเป็นต้องกระทำ ภายหลังที่เมื่อเดือนที่แล้วต้องรับเงินกู้ช่วยเหลือจากรัฐบาลสหรัฐฯ ในขณะที่กิจการของบริษัทกำลังซวนเซใกล้ล้มละลายเต็มที
ตามข้อตกลงรับเงินกู้ ทางการสหรัฐฯมีสิทธิเข้าซื้อหุ้นจำนวนเกือบ 80% ของไอจี แลกกับการได้วงเงินสินเชื่อ 85,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจนถึงขณะนี้ทางเอไอจีเบิกถอนออกมาใช้แล้ว 61,000 ล้านดอลลาร์
นักวิเคราะห์หลายรายเชื่อว่า เฉพาะกิจการด้านการประกันชีวิตของเอไอจีในญี่ปุ่นรวม 3 แห่ง ได้แก่ เอไอจี สตาร์, เอไอจี เอดิสัน, และอาลิโค ก็น่าจะขายได้ถึง 10,000 ล้านดอลลาร์ โดยที่ตามรายงานที่ยื่นต่อทางการฉบับล่าสุดนั้น บริษัทสาขาของเอไอจีทั้ง 3 แห่งนี้ มีสินทรัพย์รวมกันเป็นมูลค่า 104,000 ล้านดอลลาร์ และมีมูลค่าตามบัญชีเมื่อปรับตัวเลขอัตราแลกเปลี่ยนแล้วเท่ากับ 8,950 ล้านดอลลาร์
ขายกิจการในฟิลิปปินส์
ขณะที่กิจการในส่วนอื่นๆ ของเอเชียอาจจะยังไม่มีความชัดเจนนั้น ทางด้าน โจเซ คุยเซีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของกิจการเอไอจีในฟิลิปปินส์แถลงที่กรุงมะนิลาวานนี้ว่า เอไอจีจะขายกิจการในฟิลิปปินส์ ซึ่งประกอบด้วยบริษัทฟิลิปปินส์-อเมริกัน ไลฟ์ และ บริษัทเจเนอรัล อินชัวรันซ์ และมีการดำเนินงานทั้งในด้านการประกันภัย, การธนาคาร, ตลอดจนการบริหารจัดการสินทรัพย์
เขาบอกว่ามีกิจการทั้งของฟิลิปปินส์และของต่างประเทศราว 10 แห่งแสดงความสนใจที่จะเข้าครอบครองกิจการเหล่านี้ทั้งหมดหรือไม่ก็บางส่วน แต่ไม่ยอมให้รายละเอียดมากกว่านี้ โดยกล่าวเพียงว่า ไอเอจียังไม่ได้กำหนดกรอบเวลาในการขายกิจการในฟิลิปปินส์ ซึ่งมีชื่อเรียกกันในท้องถิ่นว่า ฟิลแอมไลฟ์
คุยเซียประมาณการว่า กิจการสาขาในฟิลิปปินส์นี้น่าจะมีมูลค่าสุทธิเท่ากับ 49,400 ล้านเปโซ (1,050 ล้านดอลลาร์)
เขากล่าวว่า ทางเอไอจีที่เป็นบริษัทแม่ประกาศไว้ว่า จะปรับโฟกัสของเอไอจีกันใหม่ให้เน้นที่ธุรกิจแกนกลางซึ่งได้แก่ด้านอสังหาริมทรัพย์และการประกันภัย และขายส่วนอื่นๆไปเพื่อนำเงินไปชำระหนี้เงินกู้ของทางการสหรัฐฯ แต่เขาก็รู้สึก "เซอร์ไพรซ์" กับการตัดสินใจคราวนี้ เนื่องจาก ฟิลแอมไฟล์ ควรต้องถือเป็น "เพชรประดับยอดมงกุฎ" ของเอไอจีได้ทีเดียว
ทั้งนี้ ฟิลแอมไลฟ์เป็นกิจการประกันภัยที่ทำได้กำไรได้มากที่สุดและอัตราสูงที่สุดของฟิลิปปินส์ โดยมีลูกจ้างพนักงานราว 1,500 คน และหนุนหลังด้วยสินทรัพย์มูลค่า 170,000 ล้านเปโซ (3,610 ล้านดอลลาร์)
คุยเซียกล่าวว่า เจพีมอร์แกน กับ แบล็กสโตน ซึ่งทางเอไอจีจ้างมาเป็นวาณิชธนกิจที่ปรึกษา จะให้คำแนะนำว่า ควรขายฟิลแอมไลฟ์กันทั้งกิจการ หรือตัดแบ่งส่วน
เขายืนยันว่า ฟิลแอมไลฟ์ยังคงเป็นบริษัทที่มีฐานเงินทุนอันแข็งแกร่ง และจะสามารถทำตามพันธกรณีทุกอย่างที่มีต่อผู้ฝากเงิน, นักลงทุน, ตลอดจนลูกค้าผู้ถือกรมธรรม์
ในส่วนการลงทุนของฟิลแอมไลฟ์ คุยเซียบอกว่าเป็นการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้ต่างๆ โดยไม่ได้มีการข้องแวะลงทุนในต่างประเทศกับพวกสถาบันการเงินอเมริกันที่ประสบปัญหา
ทางด้าน มิเชล คาลัฟ รองประธานบริหารและประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการของฟิลแอมไลฟ์ เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ฟิลแอมไลฟ์อยู่ในฐานะ "ผู้ออกเงินสุทธิ" ให้แก่เอไอจีมาหลายสิบปีแล้ว และบริษัทจะพยายามหาทางรักษาลูกจ้างพนักงานทั้งหมดเอาไว้ แต่ก็อาจต้องมีการปรับอะไรกันบ้าง ถ้าหากเกิดมีตำแหน่งงานซ้ำซ้อนกับผู้ซื้อที่เข้ามาเป็นเจ้าของรายใหม่
วิลสันกล่าวในการให้สัมภาษณ์วันอาทิตย์ และหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์นำมารายงานในฉบับวานนี้ว่า มีกลุ่มต่างๆ สิบกว่ากลุ่มติดต่อทาบทามทางเอไอจี ภายหลังเอไอจีประกาศที่นิวยอร์กในวันศุกร์(3)ว่า มีโครงการนำกิจการในเครือจำนวนมากออกมาตัดแบ่งขาย เพื่อหาเงินไปชดใช้เงินกู้ที่ได้จากทางการสหรัฐฯ
"เราได้รับความสนใจในเบื้องต้นจากผู้ที่มีศักยภาพในการเข้าร่วมเสนอราคาเป็นจำนวนมากมายกว้างขวางยิ่ง" วิลสันบอก
เขาไม่ยอมเอ่ยนามของผู้ที่แสดงความสนใจเหล่านี้ ทว่าพวกนักเจรจาทำดีลในเอเชียระบุไว้ในรายงานภายในว่า บริษัทประกันภัย, กลุ่มกิจการธนาคาร, กองทุนความมั่งคั่งภาครัฐ, และบริษัทเพื่อการลงทุนภาคเอกชน จำนวนรวมเป็นสิบๆ ราย กำลังจับจ้องอยากจะได้ถือหุ้นในเอไอเอ อันเป็นกิจการด้านการประกับชีวิตชั้นนำในเอเชีย-แปซิฟิก และก็เป็นเสาหลักสำคัญของธุรกิจของเอไอจีมากว่าร้อยปีแล้ว
ทั้งนี้เอไอจีตั้งใจที่จะปล่อยหุ้นเอไอเอออกมาในจำนวนซึ่งอาจจะสูงถึง 49% ซึ่งพวกนักวิเคราะห์ทำนายว่าน่าจะทำเงินได้ประมาณ 20,000 ล้านดอลลาร์ทีเดียว
การที่นักลงทุนให้ความสนใจอย่างล้นหลามเช่นนี้ นอกจากสะท้อนให้เห็นถึงพลานุภาพในการสร้างรายได้ของเอไอเอ ยังชี้ถึงความเต็มอกเต็มใจที่จะจ่ายมูลค่าเพิ่มขึ้นสำหรับโอกาสอันหาได้ยากในการได้ครอบครองหุ้นในบริษัทซึ่งปักหลักมั่นคงในตลาดซึ่งมีอัตราเติบโตรวดเร็วที่สุดในโลกสำหรับกิจการประกันชีวิต
เอไอเอนั้นมีลูกค้าถือกรมธรรม์รวม 20 ล้านรายใน 13 ตลาดทั่วเอเชีย-แปซิฟิก ยกเว้นญี่ปุ่น โดยที่มีตัวแทนขายประกันจำนวนราว 200,000 คน และสามารถทำกำไรจาการดำเนินงานโดยรวมได้ประมาณ 2,000 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว
นอกจากนั้น บริษัทยังมีพอร์ตด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ทั้งกว้างขวางและเตะตาอย่างยิ่ง
วิลสันซึ่งดำรงตำแหน่งประธานบริหารของเอไอเอด้วย บอกว่าเอไอจีอาจจะขายหุ้นข้างน้อยจำนวนหนึ่งให้แก่นักลงทุนหลายๆ ราย
เอไอจีได้ว่างจ้าง แบล็กสโตน กับ เจพีมอร์แกน มาทำหน้าที่ให้คำแนะนำในการตัดแบ่งขายกิจการคราวนี้ แต่วิลสันบอกว่าอาจจะมีการตั้งแต่วาณิชธนกิจรายอื่นๆ มาเป็นที่ปรึกษาเพิ่มเติมได้อีก
การขายสินทรัพย์ในเอเชียนี้ ถือเป็นสินทรัพย์ก้อนใหญ่โตที่สุดในโครงการตัดแบ่งขายสินทรัพย์ของเอไอจี ซึ่งบริษัทจำเป็นต้องกระทำ ภายหลังที่เมื่อเดือนที่แล้วต้องรับเงินกู้ช่วยเหลือจากรัฐบาลสหรัฐฯ ในขณะที่กิจการของบริษัทกำลังซวนเซใกล้ล้มละลายเต็มที
ตามข้อตกลงรับเงินกู้ ทางการสหรัฐฯมีสิทธิเข้าซื้อหุ้นจำนวนเกือบ 80% ของไอจี แลกกับการได้วงเงินสินเชื่อ 85,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจนถึงขณะนี้ทางเอไอจีเบิกถอนออกมาใช้แล้ว 61,000 ล้านดอลลาร์
นักวิเคราะห์หลายรายเชื่อว่า เฉพาะกิจการด้านการประกันชีวิตของเอไอจีในญี่ปุ่นรวม 3 แห่ง ได้แก่ เอไอจี สตาร์, เอไอจี เอดิสัน, และอาลิโค ก็น่าจะขายได้ถึง 10,000 ล้านดอลลาร์ โดยที่ตามรายงานที่ยื่นต่อทางการฉบับล่าสุดนั้น บริษัทสาขาของเอไอจีทั้ง 3 แห่งนี้ มีสินทรัพย์รวมกันเป็นมูลค่า 104,000 ล้านดอลลาร์ และมีมูลค่าตามบัญชีเมื่อปรับตัวเลขอัตราแลกเปลี่ยนแล้วเท่ากับ 8,950 ล้านดอลลาร์
ขายกิจการในฟิลิปปินส์
ขณะที่กิจการในส่วนอื่นๆ ของเอเชียอาจจะยังไม่มีความชัดเจนนั้น ทางด้าน โจเซ คุยเซีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของกิจการเอไอจีในฟิลิปปินส์แถลงที่กรุงมะนิลาวานนี้ว่า เอไอจีจะขายกิจการในฟิลิปปินส์ ซึ่งประกอบด้วยบริษัทฟิลิปปินส์-อเมริกัน ไลฟ์ และ บริษัทเจเนอรัล อินชัวรันซ์ และมีการดำเนินงานทั้งในด้านการประกันภัย, การธนาคาร, ตลอดจนการบริหารจัดการสินทรัพย์
เขาบอกว่ามีกิจการทั้งของฟิลิปปินส์และของต่างประเทศราว 10 แห่งแสดงความสนใจที่จะเข้าครอบครองกิจการเหล่านี้ทั้งหมดหรือไม่ก็บางส่วน แต่ไม่ยอมให้รายละเอียดมากกว่านี้ โดยกล่าวเพียงว่า ไอเอจียังไม่ได้กำหนดกรอบเวลาในการขายกิจการในฟิลิปปินส์ ซึ่งมีชื่อเรียกกันในท้องถิ่นว่า ฟิลแอมไลฟ์
คุยเซียประมาณการว่า กิจการสาขาในฟิลิปปินส์นี้น่าจะมีมูลค่าสุทธิเท่ากับ 49,400 ล้านเปโซ (1,050 ล้านดอลลาร์)
เขากล่าวว่า ทางเอไอจีที่เป็นบริษัทแม่ประกาศไว้ว่า จะปรับโฟกัสของเอไอจีกันใหม่ให้เน้นที่ธุรกิจแกนกลางซึ่งได้แก่ด้านอสังหาริมทรัพย์และการประกันภัย และขายส่วนอื่นๆไปเพื่อนำเงินไปชำระหนี้เงินกู้ของทางการสหรัฐฯ แต่เขาก็รู้สึก "เซอร์ไพรซ์" กับการตัดสินใจคราวนี้ เนื่องจาก ฟิลแอมไฟล์ ควรต้องถือเป็น "เพชรประดับยอดมงกุฎ" ของเอไอจีได้ทีเดียว
ทั้งนี้ ฟิลแอมไลฟ์เป็นกิจการประกันภัยที่ทำได้กำไรได้มากที่สุดและอัตราสูงที่สุดของฟิลิปปินส์ โดยมีลูกจ้างพนักงานราว 1,500 คน และหนุนหลังด้วยสินทรัพย์มูลค่า 170,000 ล้านเปโซ (3,610 ล้านดอลลาร์)
คุยเซียกล่าวว่า เจพีมอร์แกน กับ แบล็กสโตน ซึ่งทางเอไอจีจ้างมาเป็นวาณิชธนกิจที่ปรึกษา จะให้คำแนะนำว่า ควรขายฟิลแอมไลฟ์กันทั้งกิจการ หรือตัดแบ่งส่วน
เขายืนยันว่า ฟิลแอมไลฟ์ยังคงเป็นบริษัทที่มีฐานเงินทุนอันแข็งแกร่ง และจะสามารถทำตามพันธกรณีทุกอย่างที่มีต่อผู้ฝากเงิน, นักลงทุน, ตลอดจนลูกค้าผู้ถือกรมธรรม์
ในส่วนการลงทุนของฟิลแอมไลฟ์ คุยเซียบอกว่าเป็นการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้ต่างๆ โดยไม่ได้มีการข้องแวะลงทุนในต่างประเทศกับพวกสถาบันการเงินอเมริกันที่ประสบปัญหา
ทางด้าน มิเชล คาลัฟ รองประธานบริหารและประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการของฟิลแอมไลฟ์ เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ฟิลแอมไลฟ์อยู่ในฐานะ "ผู้ออกเงินสุทธิ" ให้แก่เอไอจีมาหลายสิบปีแล้ว และบริษัทจะพยายามหาทางรักษาลูกจ้างพนักงานทั้งหมดเอาไว้ แต่ก็อาจต้องมีการปรับอะไรกันบ้าง ถ้าหากเกิดมีตำแหน่งงานซ้ำซ้อนกับผู้ซื้อที่เข้ามาเป็นเจ้าของรายใหม่