เมื่อวันจันทร์ที่ 15 กันยายน 2551 Lehman Brothers วาณิชธนกิจอันดับ 4 ของโลกประกาศล้มละลาย ซึ่งนำมาสู่ความตื่นตระหนกในตลาดการเงินทั่วโลกและเกิดความผันผวนในตลาดการเงินทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย และทำให้เกิดสภาพคล่องทั่วโลกได้ตึงตัวรุนแรง (Credit Crunch) จนธนาคารกลางประเทศต่างๆ ต้องอัดฉีดสภาพคล่องเข้ามาในระบบโดยรวมไม่ต่ำกว่า 160 พันล้านดอลลาร์สหรัฐวิกฤต Lehman Brothers ครั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องจากสภาวะสภาพคล่องล้นโลก (Excessive Global Liquidity) ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งนำไปสู่ภาวะวิกฤต Sub-Prime และลุกลามจนถึงปัจจุบัน คาดว่า ความผันผวนดังกล่าวจะยังไม่จบในระยะสั้น สำนักนโยบายเศรษฐกิจและการคลัง จึงได้ทำการวิเคราะห์ผลกระทบของวิกฤตดังกล่าวสู่เศรษฐกิจไทย รวมถึงเสนอแนะแนวนโยบายของไทยในการรองรับผลกระทบดังกล่าว ดังนี้
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย
ในระยะสั้น วิกฤต Lehman Brothers มีผลกระทบต่อไทยใน 2 ด้าน อันได้แก่ผลกระทบทางตรงและทางอ้อม โดยผลกระทบทางตรงนั้น ไม่น่าจะมีผลกระทบมากนัก เพราะสถาบันการเงินไทยและธุรกิจไทยมีธุรกรรมและความเสี่ยง (Exposure)กับ Lehman Brothers น้อย โดยแบ่งได้เป็น
1. ความเสียหายจากสถาบันการเงินไทยที่ไปลงทุนใน Lehman Brothers โดยตรง ซึ่งคาดว่าจะมีอยู่ประมาณ 4.8 พันล้านบาท(ตัวเลขจากคำสัมภาษณ์ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)) ซึ่งมีไม่ถึงร้อยละ 0.1 ของสินเชื่อสถาบันการเงินทั้งระบบที่อยู่ที่ประมาณ 9 ล้านล้านบาท ซึ่งผลกระทบในภาพรวมคงมีผลกระทบระบบสถาบันการเงินไม่มาก แต่ต้องเร่งตรวจสอบสถาบันการเงินที่เสียหายเฉพาะรายเพื่อรีบดูแลไม่ให้ปัญหาลุกลาม
2. ความเสียหายจากธุรกิจที่ Lehman Brothers ที่ลงทุนในไทยซึ่งมีอยู่ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท (ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อาคารพาณิชย์ และปล่อยกู้ในบริษัทที่ Lehman Brothers ลงทุน) ซึ่งผลกระทบนั้น Lehman ต้องขายสินทรัพย์ในประเทศไทยทั้งหมดไปใช้หนี้ ซึ่งอาจมีผลกระทบกับราคาอสังหาริมทรัพย์ในไทยบ้าง แต่ไม่น่าเป็นห่วงเนื่องจากส่วนใหญ่เป็นสินทรัพย์ที่ดี น่าจะมีนักลงทุนสนใจซื้อ ในขณะที่ความเสียหายของ Lehman Brothers แต่อาจมีผลลบกับบริษัทที่กู้เงินจาก Lehman Brothers เพราะ ต้องหาแหล่งเงินทุนใหม่ในประเทศมาแทน ซึ่งอาจจะกระทบสภาพคล่องในประเทศให้ตึงตัวในอนาคต
3. ความเสียหายจากสถาบันการเงินต่างๆ ที่ทำธุรกรรมกับ Lehman Brothers เช่น สัญญาการเงินต่างๆ และสัญญาค้ำประกันซึ่งจะมีปัญหาจากคู่สัญญาล้มละลาย (Counter-parties Risk) โดยผลกระทบคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถาบันการเงินที่ทำธุรกรรมกับ Lehman Brothers โดยในปัจจุบันยังไม่ทราบจำนวนธุรกรรมที่แน่นอน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสถาบันการเงินไทยมีฐานะทางการเงินเข้มแข็ง ดังจะเห็นได้จากเงินลงทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (Capital Adequacy Ratio) ของไทยที่อยู่ที่ประมาณร้อยละ 15.0 ของสินทรัพย์รวม ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์การตั้งสำรองของทางการที่อยู่ที่ร้อยละ 8.5 ของสินทรัพย์รวมค่อนข้างมาก ดังนั้นผลกระทบต่อเสถียรภาพสถาบันการเงินไทยน่าจะอยู่ในวงจำกัด
ส่วนผลกระทบทางอ้อมวิกฤต Lehman Brothers อาจมีผลกระทบสู่ตลาดเงินตลาดทุนไทยมากในระยะสั้น โดยแบ่งได้เป็น
ตลาดหลักทรัพย์ผันผวนในช่วง 3-4 วันแรก ตลาดหลักทรัพย์ไทยปรับตัวลดลงมากเหมือนตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก (ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยปรับลดลงไปวันละประมาณร้อยละ 4-5 ขณะที่ในระหว่างวันมีความผันผวนมาก โดยในช่วงเช้าวันที่ 18 กันยายน 2551 ปรับลดลงถึงประมาณ 30 จุดหรือร้อยละ 5 ก่อนที่จะปรับดีขึ้นในช่วงบ่าย ทำให้ปิดตลาดลบเพียงเล็กน้อย) เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติต้องขายหลักทรัพย์ทั่วโลกรวมทั้งหลักทรัพย์ไทย เพื่อชดเชยสภาพคล่องที่ขาดแคลนรุนแรง แต่ในระยะต่อไป เมื่อสภาพคล่องกลับเข้ามาสู่ภาวะปกติ นักลงทุนต่างชาติอาจจะแห่ถอนเงินออกจากสินทรัพย์รูปดอลลาร์ที่มีแนวโน้มด้อยค่าลง มาถือสินทรัพย์ในสกุลอื่นๆ ซึ่งอาจจะทำให้ดัชนีหลักทรัพย์ปรับเพิ่มขึ้นได้ ส่วนการ
สภาพคล่องในประเทศอาจตึงตัวตามตลาดโลก ในช่วงแรกที่สภาพคล่องในตลาดโลกตึงตัว ได้ทำให้ต้นทุนการกู้ยืมเงินในรูปดอลลาร์สูงขึ้นมาก โดยสามารถพิจารณาได้จากอัตราดอกเบี้ย LIBOR ที่สูงขึ้นประมาณร้อยละ 2.3 เป็นร้อยละ 3.8 ในช่วงสั้น ดังนั้น บริษัทไทย (หรือรัฐบาลไทย) จะมีต้นทุนการกู้เงินจากต่างประเทศแพงมาก ขณะที่ความเสี่ยงด้านการขาดสภาพคล่องทั่วโลกได้ส่งผลให้ Risk Premium ของเอเชียและไทย ซึ่งสามารถวัดได้จาก Credit Default Swap หรือ CDS ดอกเบี้ยสูงขึ้นถึงร้อยละ 1.7 (หรือ 170 Basis Points: bps) ทำให้ต้องหันมากู้เงินภายในประเทศแทน ซึ่งจะทำให้สภาพคล่องในประเทศตึงตัวอย่างเร็ว จนดึงให้ต้นทุนดอกเบี้ยกู้ในประเทศสูงขึ้นตามไปด้วย
ค่าเงินบาทจะผันผวนมาก โดยในช่วง 3-4 วันที่ผ่านมา หลังจากที่ Lehman Brothers ประกาศล้มละลาย ค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าอย่างเร็ว (โดยแข็งขึ้นประมาณร้อยละ 1.05 จาก 34.51 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เป็น 34.15 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐภายใน 3 วัน) และแข็งค่ากว่าค่าเงินสกุลอื่นในภูมิภาค (โดยเมื่อเทียบค่าเงินวันที่ 18 กันยายนกับค่าเงินสัปดาห์ก่อนหน้าพบว่า บาทแข็งขึ้นถึงร้อยละ0.84 ขณะที่ดอลลาร์สิงค์โปร์แข็งขึ้นเพียงร้อยละ 0.42 เปโซฟิลิปปินส์อ่อนลงร้อยละ -0.66 และอินโดรูเปียห์อ่อนลงร้อยละ 0.73)เนื่องจากดอลลาร์อ่อนลงเร็วมากและเงินทุนไหลออกจากไทยยังน้อยกว่าตลาดอื่นๆ ในภูมิภาค
อย่างไรก็ตาม ในระยะต่อไป ค่าเงินบาทอาจกลับมาอ่อนเร็วได้ โดยเฉพาะเมื่อเงินทุนไหลออกจากไทยจริง และดุลบัญชีเดินสะพัดที่มีแนวโน้มขาดดุลมากขึ้นจากรายได้ส่งออกและท่องเทียวทีลดลงจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว (รวมทั้งปัญหาการเมืองในประเทศ)
ขณะที่ในระยะปานกลางถึงระยะยาวนั้นเป็นไปได้ว่าเศรษฐกิจไทยอาจได้รับผลกระทบจากวิกฤต Lehman Brothers ในวงกว้างได้เนื่องจาก เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ทำให้การส่งออกของไทยลดลง ซึ่งเศรษฐกิจสหรัฐ มีแนวโน้มหดตัวในช่วงครึ่งปีหลัง 2551 และปี 2552 และจะส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจยุโรป และญี่ปุ่น ซึ่งมีความสัมพันธ์ทางการค้าและการเงินใกล้ชิดกับสหรัฐ ขยายตัวชะลอลงมากด้วย นอกจากนั้น การที่เศรษฐกิจสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่นซึ่งเป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ชะลอลง จะส่งผลตามมายังเศรษฐกิจประเทศอื่น ๆ ในระยะต่อไป
เศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาการส่งออกมากจะชะลอตามไปด้วย ถ้าเศรษฐกิจโลกชะลอตัว จะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยซึ่งพึ่งพาการส่งออกสินค้าและบริการถึงประมาณร้อยละ 70 ของ GDPชะลอตามไปด้วย ดังนั้น เศรษฐกิจไทยต้องเร่งกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ ทั้งการลงทุนและการบริโภคให้เร่งตัวขึ้นโดยเร็ว เพื่อช่วยทดแทนการส่งออกที่ชะลอตัวลง และต้องเร่งกระจายตลาดส่งออกไปยังตลาดใหม่ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจสหรัฐฯไม่มาก เช่น ตะวันออกกลาง ละตินอเมริกา อินเดีย และจีน เป็นต้น
แนวนโยบายเศรษฐกิจไทย
ทั้งนี้ สศค. วิเคราะห์ว่า วิกฤต Lehman Brothers ครั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องจากสภาวะสภาพคล่องล้นโลก (Excessive Global Liquidity)ในช่วงที่ผ่านมา1 ซึ่งนำไปสู่ภาวะวิกฤต Sub-Prime ในสหรัฐ และลามสืบเนื่องทำให้ตลาดการเงินโลกผันผวนจนถึงปัจจุบัน โดยคาดว่า ความผันผวนดังกล่าวจะยังไม่จบในระยะสั้น โดยอาจจะนำไปสู่การควบรวมกิจการของวานิชธนกิจ รวมถึงธนาคารพาณิชย์และบริษัทประกันอื่น ๆ อีก ดังนั้น เพื่อเป็นการเตรียมตัวรองรับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ประเทศไทยควรมีมาตรการรองรับดังนี้
ในระยะสั้น
A. เพื่อป้องกันการขาดสภาพคล่องจากสถานการณ์เงินทุนไหลออก และการระดมเงินกู้ในประเทศแทนการกู้ต่างประเทศที่มีปัญหา หน่วยงานภาครัฐจึงควรดูแลสภาพคล่องภายในประเทศให้เพียงพอ หากเกิดเหตุการณ์เงินทุนไหลออกอย่างรวดเร็ว (Capital Account Reversal) และดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลอย่างรวดเร็ว (Current Account Reversal)
B.เพื่อป้องกันความผันผวนในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ธปท. ควรเข้าดูแลตลาดอัตราแลกเปลี่ยนให้เคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกันกับค่าเงินของประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้ค่าเงินบาทไม่ผันผวนเกินไป ซึ่งจะกระทบภาคเศรษฐกิจจริง (การส่งออก นำเข้า และการลงทุน)
ในระยะปานกลางถึงระยะยาว
A. เพื่อป้องกันเศรษฐกิจชะลอตัวในระยะต่อไป จากปัจจัยเสี่ยงต่างประเทศที่ทำให้การส่งออกลดลงรัฐบาลควรจะเร่งการใช้จ่ายในประเทศโดยเน้นการลงทุนให้เร็วที่สุด โดยเฉพาะภาครัฐต้องเป็นตัวนำ เช่นเร่งผลักดัน Mega-Project ให้เป็นรูปธรรมให้เร็วที่สุด
B.นโยบายการเงินอาจจะต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว ให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่ในขณะนี้ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อน้อยกว่าความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจหดตัว (Recession) ตัวอย่างเช่น ธนาคารกลางของจีน(PBOC) เริ่มปรับตัวก่อน โดยปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย (ดอกเบี้ยเงินกู้ 1 ปี) ในวันที่ 16 กันยายน 2551 จากร้อยละ 7.47 เหลือ 7.29 หลังจากเงินเฟ้อในจีนเดือนสิงหาคม 2551 ปรับลดลงเหลือร้อยละ 4.9 จากร้อยละ 8.7 และร้อยละ 6.3 ในสองเดือนก่อนหน้า
C.นโยบายในระยะยาวจะต้องเร่งกระจายตลาดการส่งออก โดยกระจายไปสู่ตลาดที่ไม่ได้รับผลกระทบมากเช่น ตะวันออกกลาง แอฟริกา ละตินอเมริกา นอกจากนั้นเพิ่มระดับการค้าขายกันในภูมิภาคให้มากขึ้น เพื่อทดแทนการลดลงของเศรษฐกิจหลัก เช่น สหรัฐ ยุโรป ญี่ปุ่น
D. ควรเน้นควรมีการเพิ่มความร่วมมือทางการเงินในเอเชีย โดยอาจใช้เวที ASEAN SUMMIT ที่ไทยเป็นเจ้าภาพในเดือนธันวาคมนี้เป็นเวทีขับเคลื่อนความร่วมมือทางการเงินให้เป็นรูปธรรมอย่างจริงจังมากขึ้น เช่นการเพิ่มช่องทางการลงทุนระหว่างภูมิภาคในสินทรัพย์ที่เป็นเงินสกุลเอเชียมากขึ้น เพราะในระยะยาวสินทรัพย์ในรูปดอลลาร์สหรัฐอาจมีโอกาสด้อยค่าลงมาก ตามเศรษฐกิจสหรัฐที่ชะลอลง นอกจากนั้น ควรเร่งความร่วมมือในการประสานนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อลดการแข่งขันการแทรกแซงค่าเงินเพื่อให้เกิดความได้เปรียบทางการค้า (Competitive Devaluation or Beggar-thy-neighbor Policy)