นิสัยการใช้เงินหรือ นิสัยการออมเป็นเรื่องที่จะต้องได้รับการปลูกฝั่งและได้รับการสอนตั้งแต่เด็กๆ อย่างที่เราเคยได้ยินสุภาษิตไทยที่ว่า “รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี” เช่นเดียวกันในการสอนให้เด็กรู้จักเก็บรู้จักออมจะต้องได้รับการปลูกฝังจากผู้เป็นพ่อแม่ เพราะพ่อแม่ก็เปรียบเหมือนคุณครูคนแรกของลูกแต่ละคน ซึ่งหากรากฐานที่มาจากสถาบันครอบครัวมีการปูพื้นฐานในเรื่องของพฤติกรรมการใช้เงินแล้ว ก็เป็นสิ่งที่ดี ที่จะติดตัวไปกับลูกตลอดไป การปลูกฝังการออมตั้งแต่เด็กๆจะทำให้เด็กเหล่านั้นได้รู้คุณค่าของเงินมากขึ้นและรู้จักประมาณตนเองไปพร้อมกัน
ในช่วงวัยเด็ก คุณพ่อ คุณแม่ ควรที่จะปลูกฝั่งลูกหลานของท่านให้รู้จักใช้ รู้จักออม เพราะลูกจะได้เติบโตมาเป็นคนที่มีความสามารถในการจัดการด้านการเงินได้เป็นอย่างดีและรู้จักใช้และรู้จักเก็บในเวลาที่จะใช้จ่ายแต่ละในครั้งนั้นจะทำให้เด็กนั้นรู้ค่าของเงินมากขึ้น
การที่พ่อแม่จะสอนให้ลูกรู้จักออม พ่อแม่ควรทำตัวให้เป็นแบบอย่างที่ดีก่อนเพราะการเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกเห็น จะทำให้ลูกปฎิบัติตามได้ง่ายขึ้น เช่น เมื่อคุณแม่ไปธนาคารบ่อยๆ ลูกจะถามว่า “คุณแม่ไปธนาคารมทำไมค่ะ” คุณแม่ตอบว่า “อ๋อ แม่ก็เอาเงินไปฝากให้ลูกงัยค่ะ”
ก็เป็นตัวอย่างที่ดีอย่างหนึ่งก็จะช่วยให้เด็กนั้นจดจำในสิ่งที่คุณแม่ทำให้เป็นตัวอย่างของการออม
พอคุณพ่อคุณแม่เป็นตัวอย่างที่ดีได้แล้ว และลูกก็สามารถเห็นภาพ และจึงเกิดทัศนคติที่ดีกับการออม หลังจากนั้นคุณพ่อคุณแม่ก็ควรปลูกฝังเรื่องต่างๆต่อไปนี้ อาทิเช่น สอนให้เหลือเงินเก็บจากการที่ได้รับเงินค่าขนมไปโรงเรียน เมื่อญาติผู้ใหญ่ให้เงิน ก็สอนให้เก็บสะสมไว้ เมื่อเก็บสะสมเงินได้จำนวนมากพอก็สอนให้นำไปฝากธนาคาร สอนให้ใช้เงินอย่างประหยัด และรู้จักค่าของเงิน โดยให้ลูกของตนพิจารณาถึงความเหมาะสมก่อนการนำเงินที่เก็บออมไปใช้ เมื่อลูกอยากได้อะไร พ่อแม่สอนให้เก็บเงินเพื่อซื้อของสิ่งนั้นๆ สอนให้ลูกมีเป้าหมายของชีวิตในเรื่องการออมเงินเพื่อสามารถนำไปใช้ได้ในอนาคตเมื่อเกิดความจำเป็น
เมื่อลูกอยากได้อะไร คุณพ่อคุณแม่ ต้องให้ลูกใช้ความพยายามในการเก็บเงินเพื่อให้ได้ของสิ่งนั้นมา อย่าซื้อให้ง่ายๆ เด็ดขาด ( ลูกจะได้เห็นคุณค่าของสิ่งของ และเห็นคุณค่าของเงินด้วย ) เมื่อลูกได้รับเงินมาก็สอนให้ลูกเก็บเงินไว้ก่อนส่วนหนึ่ง เช่น สมมุติว่าได้รับเงินจากพ่อแม่สัปดาห์ละ 500 บาท ต้องเก็บก่อน 100 บาท แล้วที่เหลือค่อยใช้ เพราะถ้าเราใช้ก่อนเก็บ เงินอาจจะไม่เหลือให้เก็บก็ได้ และเมื่อลูกเก็บเงินได้ระดับหนึ่ง คุณพ่อคุณแม่อาจจะสมทบให้เป็นเท่าตัวเพื่อสร้างกำลังใจให้เด็กๆ
เช่น ลูกเก็บเงินได้ 1,000 บาท ลูกก็จะมีเงินฝากเป็น 2,000 บาท เพื่อสร้างกำลังใจให้ลูกและกระตุ้นการออมเมื่อลูกเริ่มเข้ามหาวิทยาลัยหรือจบการศึกษาออกมาแล้วมีงานทำและมีเงินเดือนเป็นของตนเอง ก็สอนให้เขารู้จักบริหารเงิน โดยแบ่งเป็นเงินสำหรับเก็บออม เงินสำหรับการลงทุน เงินใช้จ่ายประจำวัน สำหรับการลงทุนให้เน้นไปในการลงทุนที่ไม่เสี่ยงมาก เช่น การซื้อพันธบัตรรัฐบาล การซื้อกองทุนรวมตราสารหนี้ เพื่อเพิ่มค่าให้มากขึ้น และสอนให้ลูกรู้จักตั้งเป้าหมายการออมเพื่อให้ไปถึงจุดมุ่งหมาย เช่น ต้องเก็บเงินให้ได้อย่างน้อย 3แสนบาท เมื่ออายุ 25 เป็นต้น
สังคมปัจจุบันเด็กๆ มีสิ่งยั่วยุเป็นจำนวนมาก และพ่อแม่ยุคปัจจุบัน ต้องทำงานมากขึ้นมีเวลาอยู่กับลูกน้อยลง จึงเลือกใช้วิธีการจ่ายเงิน ซื้อของให้กับลูกทดแทนเวลาที่น้อยลง ทำให้ลูกไม่เห็นคุณค่าของเงินและใช้จ่ายอย่างไม่ระมัดระวัง และจะก่อให้เกิดปัญหาด้านการเงินได้ในอนาคต แต่หากแต่ละครอบครัวช่วยกันปลูกฝังนิสัยการออมและการใช้จ่ายเงินอย่างรู้คุณค่าอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่เล็กๆ เชื่อได้ว่าเมื่อโตขึ้นเด็กเหล่านี้ก็จะไม่ประสบปัญหาเรื่องของการเงินจากความไม่มีวินัยด้านการใช้จ่าย
ดังนั้น มาช่วยกันสอนลูกให้รู้จักการออมและการรู้จักการใช้เงินตั้งแต่ลูกยังเด็กจึงเป็นสิ่งจำเป็น วิธีการสอนลูกดังกล่าวข้างต้นอาจปรับใช้ได้ตามความเหมาะสมของแต่ละครอบครัว แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกครอบครัวควรจะต้องชี้ให้ลูกของตนเองได้เห็นถึง คุณประโยชน์ที่ได้จากการออม และการเลือกใช้เงินอย่างชาญฉลาด โดยยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมให้ลูกของตน ได้เห็นข้อดีของการออมเงินและการรู้จักใช้เงิน ในเวลาเดียวกันพ่อแม่ก็ควรที่จะแสดงให้เห็นตัวอย่างของคนรอบๆ ตัวที่ไม่รู้จักบริหารจัดการเรื่องการเงินของตนเอง บุคคลรอบๆ ตัวที่พวกเขามีปัญหาเรื่องของการเงินภาระหนี้สินที่พวกเค้ามีอยู่มากมาย
ทุกข์ที่เกิดจากการมีหนี้สินล้นพ้นตัว เพราะพวกเขาเหล่านั้นไม่รู้จักการบริหารจัดการเงินของตนเองที่ดี จากตัวอย่างที่เห็นชัดเจนเหล่านั้นจะสร้างความตระหนักให้แก่ลูกของท่านได้ หรือถ้าจะให้ลูกของท่านได้เห็นตัวอย่างที่ชัดเจน สอนให้ลูกของท่านได้พบประสบการณ์เหล่านั้นด้วยตัวของเขาเอง รับรองได้เลยว่า เขาจะเห็นคุณค่าของเงินและรู้จักใช้รู้จักออมขึ้นมาทันที
ในช่วงวัยเด็ก คุณพ่อ คุณแม่ ควรที่จะปลูกฝั่งลูกหลานของท่านให้รู้จักใช้ รู้จักออม เพราะลูกจะได้เติบโตมาเป็นคนที่มีความสามารถในการจัดการด้านการเงินได้เป็นอย่างดีและรู้จักใช้และรู้จักเก็บในเวลาที่จะใช้จ่ายแต่ละในครั้งนั้นจะทำให้เด็กนั้นรู้ค่าของเงินมากขึ้น
การที่พ่อแม่จะสอนให้ลูกรู้จักออม พ่อแม่ควรทำตัวให้เป็นแบบอย่างที่ดีก่อนเพราะการเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกเห็น จะทำให้ลูกปฎิบัติตามได้ง่ายขึ้น เช่น เมื่อคุณแม่ไปธนาคารบ่อยๆ ลูกจะถามว่า “คุณแม่ไปธนาคารมทำไมค่ะ” คุณแม่ตอบว่า “อ๋อ แม่ก็เอาเงินไปฝากให้ลูกงัยค่ะ”
ก็เป็นตัวอย่างที่ดีอย่างหนึ่งก็จะช่วยให้เด็กนั้นจดจำในสิ่งที่คุณแม่ทำให้เป็นตัวอย่างของการออม
พอคุณพ่อคุณแม่เป็นตัวอย่างที่ดีได้แล้ว และลูกก็สามารถเห็นภาพ และจึงเกิดทัศนคติที่ดีกับการออม หลังจากนั้นคุณพ่อคุณแม่ก็ควรปลูกฝังเรื่องต่างๆต่อไปนี้ อาทิเช่น สอนให้เหลือเงินเก็บจากการที่ได้รับเงินค่าขนมไปโรงเรียน เมื่อญาติผู้ใหญ่ให้เงิน ก็สอนให้เก็บสะสมไว้ เมื่อเก็บสะสมเงินได้จำนวนมากพอก็สอนให้นำไปฝากธนาคาร สอนให้ใช้เงินอย่างประหยัด และรู้จักค่าของเงิน โดยให้ลูกของตนพิจารณาถึงความเหมาะสมก่อนการนำเงินที่เก็บออมไปใช้ เมื่อลูกอยากได้อะไร พ่อแม่สอนให้เก็บเงินเพื่อซื้อของสิ่งนั้นๆ สอนให้ลูกมีเป้าหมายของชีวิตในเรื่องการออมเงินเพื่อสามารถนำไปใช้ได้ในอนาคตเมื่อเกิดความจำเป็น
เมื่อลูกอยากได้อะไร คุณพ่อคุณแม่ ต้องให้ลูกใช้ความพยายามในการเก็บเงินเพื่อให้ได้ของสิ่งนั้นมา อย่าซื้อให้ง่ายๆ เด็ดขาด ( ลูกจะได้เห็นคุณค่าของสิ่งของ และเห็นคุณค่าของเงินด้วย ) เมื่อลูกได้รับเงินมาก็สอนให้ลูกเก็บเงินไว้ก่อนส่วนหนึ่ง เช่น สมมุติว่าได้รับเงินจากพ่อแม่สัปดาห์ละ 500 บาท ต้องเก็บก่อน 100 บาท แล้วที่เหลือค่อยใช้ เพราะถ้าเราใช้ก่อนเก็บ เงินอาจจะไม่เหลือให้เก็บก็ได้ และเมื่อลูกเก็บเงินได้ระดับหนึ่ง คุณพ่อคุณแม่อาจจะสมทบให้เป็นเท่าตัวเพื่อสร้างกำลังใจให้เด็กๆ
เช่น ลูกเก็บเงินได้ 1,000 บาท ลูกก็จะมีเงินฝากเป็น 2,000 บาท เพื่อสร้างกำลังใจให้ลูกและกระตุ้นการออมเมื่อลูกเริ่มเข้ามหาวิทยาลัยหรือจบการศึกษาออกมาแล้วมีงานทำและมีเงินเดือนเป็นของตนเอง ก็สอนให้เขารู้จักบริหารเงิน โดยแบ่งเป็นเงินสำหรับเก็บออม เงินสำหรับการลงทุน เงินใช้จ่ายประจำวัน สำหรับการลงทุนให้เน้นไปในการลงทุนที่ไม่เสี่ยงมาก เช่น การซื้อพันธบัตรรัฐบาล การซื้อกองทุนรวมตราสารหนี้ เพื่อเพิ่มค่าให้มากขึ้น และสอนให้ลูกรู้จักตั้งเป้าหมายการออมเพื่อให้ไปถึงจุดมุ่งหมาย เช่น ต้องเก็บเงินให้ได้อย่างน้อย 3แสนบาท เมื่ออายุ 25 เป็นต้น
สังคมปัจจุบันเด็กๆ มีสิ่งยั่วยุเป็นจำนวนมาก และพ่อแม่ยุคปัจจุบัน ต้องทำงานมากขึ้นมีเวลาอยู่กับลูกน้อยลง จึงเลือกใช้วิธีการจ่ายเงิน ซื้อของให้กับลูกทดแทนเวลาที่น้อยลง ทำให้ลูกไม่เห็นคุณค่าของเงินและใช้จ่ายอย่างไม่ระมัดระวัง และจะก่อให้เกิดปัญหาด้านการเงินได้ในอนาคต แต่หากแต่ละครอบครัวช่วยกันปลูกฝังนิสัยการออมและการใช้จ่ายเงินอย่างรู้คุณค่าอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่เล็กๆ เชื่อได้ว่าเมื่อโตขึ้นเด็กเหล่านี้ก็จะไม่ประสบปัญหาเรื่องของการเงินจากความไม่มีวินัยด้านการใช้จ่าย
ดังนั้น มาช่วยกันสอนลูกให้รู้จักการออมและการรู้จักการใช้เงินตั้งแต่ลูกยังเด็กจึงเป็นสิ่งจำเป็น วิธีการสอนลูกดังกล่าวข้างต้นอาจปรับใช้ได้ตามความเหมาะสมของแต่ละครอบครัว แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกครอบครัวควรจะต้องชี้ให้ลูกของตนเองได้เห็นถึง คุณประโยชน์ที่ได้จากการออม และการเลือกใช้เงินอย่างชาญฉลาด โดยยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมให้ลูกของตน ได้เห็นข้อดีของการออมเงินและการรู้จักใช้เงิน ในเวลาเดียวกันพ่อแม่ก็ควรที่จะแสดงให้เห็นตัวอย่างของคนรอบๆ ตัวที่ไม่รู้จักบริหารจัดการเรื่องการเงินของตนเอง บุคคลรอบๆ ตัวที่พวกเขามีปัญหาเรื่องของการเงินภาระหนี้สินที่พวกเค้ามีอยู่มากมาย
ทุกข์ที่เกิดจากการมีหนี้สินล้นพ้นตัว เพราะพวกเขาเหล่านั้นไม่รู้จักการบริหารจัดการเงินของตนเองที่ดี จากตัวอย่างที่เห็นชัดเจนเหล่านั้นจะสร้างความตระหนักให้แก่ลูกของท่านได้ หรือถ้าจะให้ลูกของท่านได้เห็นตัวอย่างที่ชัดเจน สอนให้ลูกของท่านได้พบประสบการณ์เหล่านั้นด้วยตัวของเขาเอง รับรองได้เลยว่า เขาจะเห็นคุณค่าของเงินและรู้จักใช้รู้จักออมขึ้นมาทันที
