“วรวรรณ” ชี้ปัญหาการเมือง 7 วันต้องจบ ระบุไม่สามารถลากยาวต่อไปได้อีกแล้ว เพราะกระทบการลงทุนและเศรษฐกิจของประเทศ ออกโรงชื่นชมจุดยืนผบ.ทบ. พร้อมจี้รัฐบาลเร่งหาทางออก เชื่อหากทุอย่างเคลียร์ ตลาดหุ้นรีบาวด์แน่นอน ส่วนเงินทุนต่างชาติ พร้อมลุยหุ้นไทยอยู่แล้ว เพียงแต่รอจังหวะเท่านั่น ล่าสุดส่งกองทุน “บัวหลวงทาร์เก็ตรีเทิร์น” ลุยหุ้นถูก ตั้งเป้าทำกำไร 25% ในช่วง 3 ปี
นางวรวรรณ ธาราภูมิ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บัวหลวง จำกัด เปิดเผยว่า สถานการณ์การเมืองในขณะนี้ เดินมาถึงจุดสูงสุดแล้ว ซึ่งเชื่อว่าปัญหาทั้งหมดน่าจะได้จบภายใน 7 วัน เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด มันไม่สามารถลากยาวต่อไปได้อีกแล้ว เนื่องจากส่งผลกระทบโดยตรงต่อการลงทุนและเศรษฐกิจของประเทศ เพราะถ้าหากยังไม่จบและเกิดความรุนแรงจากทั้งสองฝ่ายต่อเนื่องไปอีก จะไม่เป็นผลดีต่อประเทศแน่นอน
นอกเหนือจากนั้น หากเกิดการผละงานของรัฐวิสาหกิจ หรือตัดสาธารณูปโภคทั่วประเทศ จะเกิดความเสียหายอย่างมหาศาล โดยเฉพาะหากมีการปิดท่าเรือ จะกระทบหนักที่สุด เพราะสินค้าไม่สามารถส่งออกหนือนำเข้าประเทศได้
นางวรวรรณกล่าวว่า ส่วนตัวเห็นด้วยกับจุดยืนของ พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ที่ยืนข้างประชาชน เหลือแต่เพียงรัฐบาลเท่านั้น ที่ต้องจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นว่าจะหาทางออกให้กับประเทศอย่างไร ซึ่งหากทุกอย่างจบแล้ว เชื่อประเทศจะสามารถเดินต่อไปได้
สำหรับบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นเอง เชื่อว่าแนวโน้มจะคลี่คลายและตลาดจะรีบาวน์กลับขึ้นมาได้ บวกกับความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่จะกลับมาอย่างแน่นอน ภายหลังจากปัญหาการเมืองจบแล้ว อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทิศทางการลงทุนอาจจะขึ้นๆ ลงๆ บ้าง เพื่อรอดูหน้าตาของรัฐบาลใหม่ โดยเฉพาะนโยบายเศรษฐกิจที่จะใช้เม็ดเงินในกระกระตุ้น ซึ่งหากนักลงทุนยอมรับการลงทุนก็จะเป็นบวกได้
ทั้งนี้ ในส่วนของนักลงทุนต่างชาติเอง เชื่อว่าเขาพร้อมที่จะลงทุนอยู่แล้ว เพียงต่อรอจังหวะเท่านั้น ซึ่งหากปัญหาการเมืองจบแรงเทขายน่าจะหมดลงแล้ว และน่าจะมีสัญญาณการกลับเข้ามาลงทุนอีกครั้ง แต่คงไม่เกิดขึ้นในระยะสั้นนี้
นางวรวรรณกล่าวถึงแนวโน้มเศรษฐกิจโลกว่า ปัจจุบันประเทศที่มีอิทธิพลต่อการลงทุนของโลก เริ่มเปลี่ยนมือจากสหรัฐมาเป็นกลุ่มประเทศในเอเชียแล้ว โดยเฉพาะจีน ที่มีเศรษฐกิจขยายตัวได้ดี และรัฐบาลสามารถควบคุมได้เป็นอย่างดี ซึ่งเห็นได้จากการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่ผ่านมา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของจีนได้เป็นอย่างดี ในการควบคุมประชากรของประเทศ
ในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐ มองว่าปีนี้ยังย่ำแย่ต่อไปจนถึงปีหน้า โดยเชื่อว่าหลังจากนี้ จะมีวิกฤตทางการเงินของสถาบันการเงินออกมาให้เห็นอีกระลอก ก่อนที่จะจบและอยู่ในภาวะทรงตัว ส่วนปัญหาเงินเฟ้อเอง คิดว่าน่าจะบรรเทาลงแล้ว ทำให้โอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐขึ้นดอกเบี้ยไม่มีแล้ว และจะเห็นการใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับปัจจุบัน หรือลดดอกเบี้ยมากกว่า
ทั้งนี้ จากปัญหาที่เกิดขึ้นในสหรัฐ จะจะส่งผลต่อเนื่องไปถึงเศรษฐกิจยุโรป เนื่องจากสถาบันการเงินในยุโรปมีการลงทุนในซับไพรม์ของสหรัฐค่อนข้างมาก
สำหรับประเทศไทยเอง หากตัดปัญหาการเมืองออกไป ถือว่าพื้นฐานทางเศรษฐกิจของเราดีมาก เงินเฟ้อที่เคยอยู่ในระดับ 9.2% ซึ่งสูงสุดในรอบ 10 ปี ก็ปรับลดลงมาอยู่ที่ 6.4% โดยเป็นผลมาจากมาตรการ 6 มาตรการ 6 เดือนของรัฐบาล รวมถึงการปรับลดลงของราคาน้ำมันในตลาดโลกด้วย ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้น จะลดแรงกดดันในการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศ (ธปท.) ด้วยเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องของปัญหาเงินเฟ้อยังเป็นปัญหาที่ต้องจับตาต่อไป เพราะหากมีการใช้จ่ายเกินตัว ก็มีโอกาสที่เงินเฟ้อจะกลับมาเป็นปัญหาได้อีกครั้ง
**คลอดทาร์เกตฟันด์ตั้งเป้าผลตอบแทน25%ใน3ปี**
นายวศิน วัฒนวรกิจกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายการตลาด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) บัวหลวง จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเสนอขายกองทุนเปิดบัวหลวงทาร์เก็ตรีเทิร์น (Bualuang Target Return Fund : TARGET) ในระหว่างวันที่ 8–17 กันยายน 2551 นี้ โดยกองทุนดังกล่าว เป็นกองทุนประเภททาร์เกตฟันด์ ซึ่งกำหนดเป้าหมายสร้างผลตอบแทนชัดเจน
โดยกองทุนเปิดบัวหลวงทาร์เก็ตรีเทิร์น มีเป้าหมายสร้างผลตอบแทนตามและจ่ายคืนเงินให้กับผู้ลงทุนในอัตราไม่ต่ำกว่า 125% ของมูลค่าเงินลงทุนเริ่มแรก (เงินต้นและผลตอบแทน) ภายในระยะเวลา 36 เดือน หรือ 25% แต่หากภาวะการลงทุนไม่เอื้ออำนวย ก็จะคืนเงินทั้งหมดที่มีในกองทุนให้ผู้ลงทุนเมื่อครบอายุกองทุน 36 เดือน โดยจ่ายผลตอบแทนตามที่กองทุนสามารถทำได้
ทั้งนี้ กองทุนมีเงื่อนไขในการเลิกกองทุนตามที่ระบุในหนังสือชี้ชวน คือ บริษัทจะเลิกกองทุน เมื่อกองทุนครบอายุโครงการ 36 เดือน นับตั้งแต่วันจดทะเบียนกองทรัพย์สินเป็นกองทุนรวม หรือในวันทำการที่ 2 นับจาก วันที่มูลค่าหน่วยลงทุนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 127 ของมูลค่าที่ตราไว้ (10 บาท) เป็นเวลา 5 วันทำการติดต่อกัน และ มูลค่าหน่วยลงทุนที่จะรับซื้อคืนโดยอัตโนมัติ ต้องไม่ต่ำกว่าร้อยละ 125 ของมูลค่าที่ตราไว้ และทรัพย์สินของกองทุนเป็นเงินสดทั้งหมด ทั้งนี้แล้วแต่เหตุการณ์ใดจะเกิดขึ้นก่อน
นายวศินกล่าวว่า กองทุนดังกล่าวสามารถลงทุนได้ทั้งในตราสารทุนและตราสารหนี้ ซึ่งผู้จัดการกองทุนจะปรับสัดส่วนการลงทุนตามภาวะตลาด โดยในส่วนของการลงทุนในหุ้นนั้น จะเน้นหุ้นบิ้กแคปและหุ้นที่มีสภาพคล่องเป็นหลัก โดยจะใช้โมเดลการลงทุนเช่นเดียวกันกองทุนเปิดทศพล
“การที่เราเปิดขายกองทุนในช่วงนี้ น่าจะเป็นโอกาสดีในการลงทุนในหุ้นราคาถูก เพราะที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์ไทยปรับตัวลดลงไปค่อนข้างมาก ประมาณ 20% ในขณะที่ P/E อยู่ที่ระดับ 9-10 เท่า ซึ่งถือว่าถูกมาก ซึ่งเรามองว่าราคาหุ้นในปัจจุบันเป็นระดับที่เหมาะสมเมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐาน สามารถลงทุนได้แล้ว”นายวศินกล่าว