บลจ.เอ็มเอฟซี พอใจผลงานระดมทุนกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อินเตอร์เนชั่นแนล พรีเมี่ยม บอนด์ ฟันด์ 12 ซีรี่ส์ 1 หลังได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั้งรายย่อยและสถาบันปิดไอพีโอกวาดเงินกว่า 1,271 ล้านบาท
นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลังจากการเปิดขายหน่วยลงทุนของกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อินเตอร์เนชั่นแนล พรีเมี่ยม บอนด์ ฟันด์ 12 ซีรี่ส์ 1 (I-Premium 12S1) ซึ่งเน้นลงทุนในตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศที่ผลตอบแทนดีและมั่นคง เพื่อรองรับความสนใจลงทุนในตราสารหนี้อย่างต่อเนื่องจากผู้ถือหน่วยลงทุนหลังจากกองทุนเปิด MK62 ได้ครบอายุกองทุนไปแล้วนั้น ปรากฏว่าได้รับความสนใจจากนักลงทุนสถาบันและบุคคลธรรมดาจำนวนมาก โดยมียอดจองซื้อระหว่างวันที่ 28 สิงหาคม-3 กันยายน 2551 เป็นจำนวนกว่า 1,271 ล้านบาท
โดยหลังจากนี้กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อินเตอร์เนชั่นแนล พรีเมี่ยม บอนด์ ฟันด์ 12 ซีรี่ส์ 1 จะจดทะเบียนกองทุนประมาณวันที่ 4 กันยายน 2551 และเมื่อครบอายุกองทุน บริษัทจะเปิดรับซื้อคืนหน่วยลงทุนกองทุนเปิดดังกล่าว และสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนอัตโนมัติไปยังกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี มันนี่ แมเนจเม้นท์ (MMM) ซึ่งเป็นกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้นให้กับผู้ถือหน่วยลงทุน เพื่อสนับสนุนการลงทุนในตราสารหนี้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อินเตอร์เนชั่นแนล พรีเมี่ยม บอนด์ ฟันด์ 12 ซีรี่ส์ 1 มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศที่ได้รับผลตอบแทนที่ดี โดยเน้นลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศเป็นหลัก ในสัดส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน เช่น พันธบัตรรัฐบาล/รัฐวิสาหกิจ หรือธนาคารพาณิชย์ หรือธนาคารต่างประเทศ หรือตราสารหนี้ที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ และลงทุนในตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง (Structured Note) รวมถึง Credit Linked Note (CLN) ที่ออกโดยสถาบันการเงินที่เสนอขายในต่างประเทศ ทั้งนี้บริษัทอาจพิจารณาลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivate) เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
ขณะเดียวกันกองทุนดังกล่าวเป็นกองทุนรวมผสม ซึ่งเน้นลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศที่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนดี เหมาะสำหรับนักลงทุนที่คาดหวังผลตอบแทนที่มากกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำของธนาคาร และแสวงหาโอกาสการลงทุนในตราสารหนี้นอกเหนือไปจากการลงทุนในประเทศเพียงอย่างเดียว ทั้งนี้สามารถรับความเสี่ยงจากการลงทุนในตราสารหนี้ของต่างประเทศ และลงทุนได้เป็นระยะเวลาประมาณ 12 เดือน โดยผู้ถือหน่วยลงทุนจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนทุก 3 เดือน ซึ่งบริษัทจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ นอกจากนี้ สำหรับผู้ลงทุนรายย่อยที่ได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนไม่ต้องเสียภาษีอีกด้วย
นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลังจากการเปิดขายหน่วยลงทุนของกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อินเตอร์เนชั่นแนล พรีเมี่ยม บอนด์ ฟันด์ 12 ซีรี่ส์ 1 (I-Premium 12S1) ซึ่งเน้นลงทุนในตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศที่ผลตอบแทนดีและมั่นคง เพื่อรองรับความสนใจลงทุนในตราสารหนี้อย่างต่อเนื่องจากผู้ถือหน่วยลงทุนหลังจากกองทุนเปิด MK62 ได้ครบอายุกองทุนไปแล้วนั้น ปรากฏว่าได้รับความสนใจจากนักลงทุนสถาบันและบุคคลธรรมดาจำนวนมาก โดยมียอดจองซื้อระหว่างวันที่ 28 สิงหาคม-3 กันยายน 2551 เป็นจำนวนกว่า 1,271 ล้านบาท
โดยหลังจากนี้กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อินเตอร์เนชั่นแนล พรีเมี่ยม บอนด์ ฟันด์ 12 ซีรี่ส์ 1 จะจดทะเบียนกองทุนประมาณวันที่ 4 กันยายน 2551 และเมื่อครบอายุกองทุน บริษัทจะเปิดรับซื้อคืนหน่วยลงทุนกองทุนเปิดดังกล่าว และสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนอัตโนมัติไปยังกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี มันนี่ แมเนจเม้นท์ (MMM) ซึ่งเป็นกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้นให้กับผู้ถือหน่วยลงทุน เพื่อสนับสนุนการลงทุนในตราสารหนี้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อินเตอร์เนชั่นแนล พรีเมี่ยม บอนด์ ฟันด์ 12 ซีรี่ส์ 1 มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศที่ได้รับผลตอบแทนที่ดี โดยเน้นลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศเป็นหลัก ในสัดส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน เช่น พันธบัตรรัฐบาล/รัฐวิสาหกิจ หรือธนาคารพาณิชย์ หรือธนาคารต่างประเทศ หรือตราสารหนี้ที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ และลงทุนในตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง (Structured Note) รวมถึง Credit Linked Note (CLN) ที่ออกโดยสถาบันการเงินที่เสนอขายในต่างประเทศ ทั้งนี้บริษัทอาจพิจารณาลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivate) เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
ขณะเดียวกันกองทุนดังกล่าวเป็นกองทุนรวมผสม ซึ่งเน้นลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศที่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนดี เหมาะสำหรับนักลงทุนที่คาดหวังผลตอบแทนที่มากกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำของธนาคาร และแสวงหาโอกาสการลงทุนในตราสารหนี้นอกเหนือไปจากการลงทุนในประเทศเพียงอย่างเดียว ทั้งนี้สามารถรับความเสี่ยงจากการลงทุนในตราสารหนี้ของต่างประเทศ และลงทุนได้เป็นระยะเวลาประมาณ 12 เดือน โดยผู้ถือหน่วยลงทุนจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนทุก 3 เดือน ซึ่งบริษัทจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ นอกจากนี้ สำหรับผู้ลงทุนรายย่อยที่ได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนไม่ต้องเสียภาษีอีกด้วย