วานนี้ตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมาหลายคนคงจับตาดูสถานการณ์ทางการเมืองกันอย่างไม่ปล่อยวาง อย่างไรก็ตามสถานการณ์ด้านการลงทุนก็ไม่ควรมองข้าม แม้ดัชนีในกระดานหุ้นวันนี้จะปรับตัวลง
ช่วงนี้บลจ.หลายค่ายทยอยที่จะเปิดขายกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ไม่เว้นแม้แต่บลจ.ใหญ่อย่างค่ายรวงข้าว “กสิกรไทย” ที่กำลังจะเปิดขายหน่วยลงทุนของกองทุนรวมเซ็นทารา ในเร็วๆนี้ ใครสนใจก็อย่างลืมไปสอบถามข้อมูลเรื่องดังกล่าวกันได้ แต่อย่างไรก็อดคิดถึง พี่ก้อย วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ อดีตหัวเรือใหญ่ของค่ายนี้ไม่ได้สักที
ลองแวบไปที่ต่างประเทศกันบ้างช่วงนี้ได้ข่าวว่า บรรดานักเศรษฐศาสตร์ และนักการเงินต่างจับตามองดูมังกรใหญ่อย่าง จีนกันเป็นอย่างมาก ว่าจะเป็ฯไปอย่างในหลายประเทศที่เคยเป็นเจ้าภาพจัดกีฬาโอลิมปิกหรือไม่ ซึ่งนั้นหมายถึงการถดถอย หรือการหดตัวทางเศรษฐกิจที่อาจจะปรับตัวลดลงภายหลังจากจบมหกรรมกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติ
อย่างไรก็ตามมีหลายเสียงส่วนใหญ่เชื่อว่า จีนยังคงแข็งแกร่ง และอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศจะเติบโตเพิ่มขึ้นต่อไป ด้วยดีมานต์การบริโภคในประเทศที่มีอยู่สูง
แต่ล่าสุดผู้จัดการกองทุนหลายรายให้ความเห็นตรงกันว่า ช่วงนี้เป็นจังหวะดีที่ควรเข้าไปเก็บหุ้นต่างแดนซึ่งมีราคาถูกเพื่อรอการขายเก็งกำไรในอนาคต เนื่องจากมองว่าราคาหุ้นเหล่านี้เริ่มสัญญาณดีดกลับขึ้นมาแล้ว ใครสนใจก็ควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมด้วย
กลับมาที่ตลาดห้นไทยอีกครั้ง วานนี้ ไม่น่าแปลกใจที่จะตัวแดง "ต้นกล้า" ไม่ขอเถียงว่าปัจจัยหนึ่งที่กดดันดัชนีคือ เรื่องการเมือง แต่อย่ามาโทษว่าเป็นผลจากปัจจัยภายในประเทศอย่างเดียวนะ เพราะถ้าหันไปมองตลาดหุ้นเพื่อนบ้านแล้วก็สภาพย้ำแย่ไม่แพ้กัน ซึ่งสาเหตุที่กดดันตลาดหุ้นทั่วโลกวานนี้เป็นผลมาจากพี่ใหญ่อย่างตลาดหุ้นดาวน์โจนส์ที่ปรับตัวลดลงรวม 200 จุด ...."หัวขบวนเป็นอย่างไง ท้ายขบวนก็เป็นอย่างนั้น"... แล
ขณะที่ ภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) แสดงความมั่นใจว่าเหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นอาจทำให้การลงทุนในตลาดชะลอตัวมากกว่า และคิดว่าไม่มีแรงเทขายหุ้นจนน่าเป็นห่วง ... เอา!!! หายห่วงกันได้แล้ว
ต่อกันที่ ชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ที่สุดมั่นใจว่า ในสิ้นปีนี้จะมีการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ mai เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 864 ล้านบาท จากต้นปีจนถึงปัจจุบันที่มีการระดมทุนไปแล้ว 1,351 ล้านบาท หลังจากที่ตอนนี้มีบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้นจำนวน 4 ราย
อย่างไรตาม ภาพรวมของตลาดหลักทรัพย์ mai ในปัจจุบัน mai index ปรับตัวลดลง 11% จากสิ้นปี 2550 ที่อยู่ในระดับ 272.37 จุด เป็น 243 จุด โดยมีมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวันในปีนี้อยู่ที่ 349 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยในปีก่อนที่ 339 ล้านบาท สำหรับ P/E ลดลงจาก 19.30 เท่า ในปีก่อนเป็น 12.28 เท่าในปีนี้
บลจ.กรุงไทย นำทีมโดย สมชัย บุญนำศิริ เอ็มดีใหญ่ วันนี้เปิดขายกองทุนเพิ่มอีก 2 กองทุนทั้งตราสารหนี้ในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งกองทุนที่ลงทุนในประเทศ "กรุงไทยตราสารการเงินคุ้มครองเงินต้น47" เปิดขายถึง 2 ก.ย. นี้ ส่วนกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ "กรุงไทยตราสารต่างประเทศ 6เดือน16" เปิดขายถึง 3 ก.ย นี้ จ้า
โดยเอ็มดีใหญ่แห่งค่ายบลจ. กรุงไทย บอกต่ออีกว่า จากปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลเริ่มกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากตลาดคาดว่ายังมีความเป็นไปได้ที่การประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินในวันที่ 27 ส.ค. นี้ จะมีการพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% เป็น 3.75% เพื่อที่จะควบคุมอัตราเงินเฟ้อ ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะ 1-12 เดือน เมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่แล้วเพิ่มขึ้น 1-11 bps.
ต้นกล้า
ช่วงนี้บลจ.หลายค่ายทยอยที่จะเปิดขายกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ไม่เว้นแม้แต่บลจ.ใหญ่อย่างค่ายรวงข้าว “กสิกรไทย” ที่กำลังจะเปิดขายหน่วยลงทุนของกองทุนรวมเซ็นทารา ในเร็วๆนี้ ใครสนใจก็อย่างลืมไปสอบถามข้อมูลเรื่องดังกล่าวกันได้ แต่อย่างไรก็อดคิดถึง พี่ก้อย วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ อดีตหัวเรือใหญ่ของค่ายนี้ไม่ได้สักที
ลองแวบไปที่ต่างประเทศกันบ้างช่วงนี้ได้ข่าวว่า บรรดานักเศรษฐศาสตร์ และนักการเงินต่างจับตามองดูมังกรใหญ่อย่าง จีนกันเป็นอย่างมาก ว่าจะเป็ฯไปอย่างในหลายประเทศที่เคยเป็นเจ้าภาพจัดกีฬาโอลิมปิกหรือไม่ ซึ่งนั้นหมายถึงการถดถอย หรือการหดตัวทางเศรษฐกิจที่อาจจะปรับตัวลดลงภายหลังจากจบมหกรรมกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติ
อย่างไรก็ตามมีหลายเสียงส่วนใหญ่เชื่อว่า จีนยังคงแข็งแกร่ง และอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศจะเติบโตเพิ่มขึ้นต่อไป ด้วยดีมานต์การบริโภคในประเทศที่มีอยู่สูง
แต่ล่าสุดผู้จัดการกองทุนหลายรายให้ความเห็นตรงกันว่า ช่วงนี้เป็นจังหวะดีที่ควรเข้าไปเก็บหุ้นต่างแดนซึ่งมีราคาถูกเพื่อรอการขายเก็งกำไรในอนาคต เนื่องจากมองว่าราคาหุ้นเหล่านี้เริ่มสัญญาณดีดกลับขึ้นมาแล้ว ใครสนใจก็ควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมด้วย
กลับมาที่ตลาดห้นไทยอีกครั้ง วานนี้ ไม่น่าแปลกใจที่จะตัวแดง "ต้นกล้า" ไม่ขอเถียงว่าปัจจัยหนึ่งที่กดดันดัชนีคือ เรื่องการเมือง แต่อย่ามาโทษว่าเป็นผลจากปัจจัยภายในประเทศอย่างเดียวนะ เพราะถ้าหันไปมองตลาดหุ้นเพื่อนบ้านแล้วก็สภาพย้ำแย่ไม่แพ้กัน ซึ่งสาเหตุที่กดดันตลาดหุ้นทั่วโลกวานนี้เป็นผลมาจากพี่ใหญ่อย่างตลาดหุ้นดาวน์โจนส์ที่ปรับตัวลดลงรวม 200 จุด ...."หัวขบวนเป็นอย่างไง ท้ายขบวนก็เป็นอย่างนั้น"... แล
ขณะที่ ภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) แสดงความมั่นใจว่าเหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นอาจทำให้การลงทุนในตลาดชะลอตัวมากกว่า และคิดว่าไม่มีแรงเทขายหุ้นจนน่าเป็นห่วง ... เอา!!! หายห่วงกันได้แล้ว
ต่อกันที่ ชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ที่สุดมั่นใจว่า ในสิ้นปีนี้จะมีการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ mai เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 864 ล้านบาท จากต้นปีจนถึงปัจจุบันที่มีการระดมทุนไปแล้ว 1,351 ล้านบาท หลังจากที่ตอนนี้มีบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้นจำนวน 4 ราย
อย่างไรตาม ภาพรวมของตลาดหลักทรัพย์ mai ในปัจจุบัน mai index ปรับตัวลดลง 11% จากสิ้นปี 2550 ที่อยู่ในระดับ 272.37 จุด เป็น 243 จุด โดยมีมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวันในปีนี้อยู่ที่ 349 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยในปีก่อนที่ 339 ล้านบาท สำหรับ P/E ลดลงจาก 19.30 เท่า ในปีก่อนเป็น 12.28 เท่าในปีนี้
บลจ.กรุงไทย นำทีมโดย สมชัย บุญนำศิริ เอ็มดีใหญ่ วันนี้เปิดขายกองทุนเพิ่มอีก 2 กองทุนทั้งตราสารหนี้ในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งกองทุนที่ลงทุนในประเทศ "กรุงไทยตราสารการเงินคุ้มครองเงินต้น47" เปิดขายถึง 2 ก.ย. นี้ ส่วนกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ "กรุงไทยตราสารต่างประเทศ 6เดือน16" เปิดขายถึง 3 ก.ย นี้ จ้า
โดยเอ็มดีใหญ่แห่งค่ายบลจ. กรุงไทย บอกต่ออีกว่า จากปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลเริ่มกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากตลาดคาดว่ายังมีความเป็นไปได้ที่การประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินในวันที่ 27 ส.ค. นี้ จะมีการพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% เป็น 3.75% เพื่อที่จะควบคุมอัตราเงินเฟ้อ ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะ 1-12 เดือน เมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่แล้วเพิ่มขึ้น 1-11 bps.
ต้นกล้า
