บลูมเบิร์ก / หนังสือพิมพ์สากล - แบงก์ ออฟ ไชน่า คาดไตรมาส 4 ปีนี้การแข็งค่าของเงินหยวนจะชะลอตัว เนื่องจากรัฐบาลปักกิ่งหันพึ่งนโยบายการปรับดอกเบี้ยมากขึ้น เพื่อราดน้ำเย็นภาวะเงินเฟ้อที่กำลังครุกรุ่นรุนแรง
สือ เหล่ย นักวิเคราะห์ด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศของธนาคารแห่งประเทศจีน หรือ แบงก์ ออฟ ไชน่า (บีโอซี) ระบุในรายงานเมื่อวันพุธ (9 ก.ค.) ว่า ปีนี้ธนาคารกลางมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเงิน เนื่องจากการที่หยวนแข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ นั้นอาจก่อให้เกิดผลเสียแก่ภาคการส่งออก ทั้งนี้ เฉพาะช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาหยวนแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐถึง 6.5% ซึ่งมากเกือบเท่ากับอัตราการแข็งค่าตลอดปี 2007 ที่ผ่านมา ที่เป็นเช่นนี้เพราะจีนพยายามหาวิธีลดต้นทุนการนำเข้า และแก้ปัญหาเงินเฟ้อที่เกิดจากราคาน้ำมันดีดตัว
อย่างไรก็ตาม สือกลับมองว่า "การแข็งค่าของหยวนนั้นสามารถควบคุมราคาน้ำมันที่ดีดตัวสูงขึ้นได้แค่เพียง 20% เท่านั้น แต่ผลข้างเคียงของมันกลับทำให้ยอดการส่งออกดิ่งเหว และกระตุ้นยอดนำเข้าสูงลิ่ว ซึ่งสร้างความเสียหายให้แก่ผู้ผลิตจีนเอง"
สือคาดการณ์ว่าปลายไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ค่าเงินหยวนอาจจะขยับขึ้นอีก 2% ขึ้นไปอยู่ที่ 6.72 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐ แต่อัตราขยายตัวจะลดลงในไตรมาสที่ 4 โดยจะแข็งขึ้นเพียง 1% แตะ 6.65 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐ จากเมื่อวันพฤหัสบดี (10 ก.ค.) ที่เงินหยวนแข็งค่าทำนิวไฮอีกครั้งแตะ 6.85 หยวนต่อดอลลาร์
ในขณะเดียวกันเลห์แมน บราเธอร์ส วานิชธนกิจชื่อดังของโลกก็ได้ออกรายงานที่ระบุว่าในครึ่งปีหลังการแข็งค่าของเงินหยวนจะช้าลงอย่างเห็นได้ชัด และคาดว่าเมื่อถึงปลายปีเงินหยวนจะไปอยู่ที่ 6.7 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐฯ และปลายปีหน้าคาดว่าจะอยู่ที่ราว 6.3 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
นอกจากนั้นยังได้ระบุว่า การที่เงินหยวนแข็งค่า ราคาวัตถุดิบและค่าแรงเพิ่มขึ้น บวกกับนโยบายการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงการยกเลิกสิทธิพิเศษของภาษีส่งออกจะทำให้ศักยภาพในการแข่งขันของผู้ประกอบการส่งออกจีนลดลง และเป็นการซ้ำเติมปัญหาของภาคส่งออก ซึ่งคาดว่าจะทำให้อีกหลายเดือนนับจากนี้ ตัวเลขการส่งออกของจีนจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด
ต่อปัญหาการส่งออกนี้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นายกรัฐมนตรี เวิน เจียเป่า และรองนายกรัฐมนตรี หวัง ฉีซัน ได้เดินทางไปเยี่ยมเยียนผู้ส่งออกในเมืองเซี่ยงไฮ้, มณฑลเจียงซู และซานตง และรับฟังปัญหาเกี่ยวกับอุปสงค์โลกที่ลดต่ำลง พร้อมเตรียมหาทางแก้ปัญหาให้ต่อไป
นอกจากนี้ สือ ผู้เชี่ยวชาญจากบีโอซี ยังเชื่อว่า "ธนาคารกลางจะปรับดอกเบี้ยขึ้นอีกในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ เนื่องจากแรงกดดันภาวะเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น" พร้อมแสดงความเชื่อมั่นว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยนั้นน่าจะทำร้ายผู้ส่งออกน้อยกว่าปล่อยให้เงินหยวนแข็งค่านั่นเอง
สือ เหล่ย นักวิเคราะห์ด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศของธนาคารแห่งประเทศจีน หรือ แบงก์ ออฟ ไชน่า (บีโอซี) ระบุในรายงานเมื่อวันพุธ (9 ก.ค.) ว่า ปีนี้ธนาคารกลางมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเงิน เนื่องจากการที่หยวนแข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ นั้นอาจก่อให้เกิดผลเสียแก่ภาคการส่งออก ทั้งนี้ เฉพาะช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาหยวนแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐถึง 6.5% ซึ่งมากเกือบเท่ากับอัตราการแข็งค่าตลอดปี 2007 ที่ผ่านมา ที่เป็นเช่นนี้เพราะจีนพยายามหาวิธีลดต้นทุนการนำเข้า และแก้ปัญหาเงินเฟ้อที่เกิดจากราคาน้ำมันดีดตัว
อย่างไรก็ตาม สือกลับมองว่า "การแข็งค่าของหยวนนั้นสามารถควบคุมราคาน้ำมันที่ดีดตัวสูงขึ้นได้แค่เพียง 20% เท่านั้น แต่ผลข้างเคียงของมันกลับทำให้ยอดการส่งออกดิ่งเหว และกระตุ้นยอดนำเข้าสูงลิ่ว ซึ่งสร้างความเสียหายให้แก่ผู้ผลิตจีนเอง"
สือคาดการณ์ว่าปลายไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ค่าเงินหยวนอาจจะขยับขึ้นอีก 2% ขึ้นไปอยู่ที่ 6.72 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐ แต่อัตราขยายตัวจะลดลงในไตรมาสที่ 4 โดยจะแข็งขึ้นเพียง 1% แตะ 6.65 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐ จากเมื่อวันพฤหัสบดี (10 ก.ค.) ที่เงินหยวนแข็งค่าทำนิวไฮอีกครั้งแตะ 6.85 หยวนต่อดอลลาร์
ในขณะเดียวกันเลห์แมน บราเธอร์ส วานิชธนกิจชื่อดังของโลกก็ได้ออกรายงานที่ระบุว่าในครึ่งปีหลังการแข็งค่าของเงินหยวนจะช้าลงอย่างเห็นได้ชัด และคาดว่าเมื่อถึงปลายปีเงินหยวนจะไปอยู่ที่ 6.7 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐฯ และปลายปีหน้าคาดว่าจะอยู่ที่ราว 6.3 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
นอกจากนั้นยังได้ระบุว่า การที่เงินหยวนแข็งค่า ราคาวัตถุดิบและค่าแรงเพิ่มขึ้น บวกกับนโยบายการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงการยกเลิกสิทธิพิเศษของภาษีส่งออกจะทำให้ศักยภาพในการแข่งขันของผู้ประกอบการส่งออกจีนลดลง และเป็นการซ้ำเติมปัญหาของภาคส่งออก ซึ่งคาดว่าจะทำให้อีกหลายเดือนนับจากนี้ ตัวเลขการส่งออกของจีนจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด
ต่อปัญหาการส่งออกนี้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นายกรัฐมนตรี เวิน เจียเป่า และรองนายกรัฐมนตรี หวัง ฉีซัน ได้เดินทางไปเยี่ยมเยียนผู้ส่งออกในเมืองเซี่ยงไฮ้, มณฑลเจียงซู และซานตง และรับฟังปัญหาเกี่ยวกับอุปสงค์โลกที่ลดต่ำลง พร้อมเตรียมหาทางแก้ปัญหาให้ต่อไป
นอกจากนี้ สือ ผู้เชี่ยวชาญจากบีโอซี ยังเชื่อว่า "ธนาคารกลางจะปรับดอกเบี้ยขึ้นอีกในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ เนื่องจากแรงกดดันภาวะเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น" พร้อมแสดงความเชื่อมั่นว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยนั้นน่าจะทำร้ายผู้ส่งออกน้อยกว่าปล่อยให้เงินหยวนแข็งค่านั่นเอง
