xs
xsm
sm
md
lg

หมดยุครัฐบาลมังกร"ชี้หินเป็นทอง" มาตรการแทรกแซงตลาดเสื่อมฤทธิ์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เอเชียน วอลล์สตรีท เจอร์นัล - ตลาดหลักทรัพย์จีนที่เคยคึกคักกลับตกมาอย่างต่อเนื่องในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา จนกระทั่งดัชนีตลาดหลักทรัพย์ต่ำกว่า 3,000 จุด จนกระทั่งนักลงทุนจำนวนไม่น้อยที่คิดว่า เมื่อดัชนีหลักทรัพย์ตกลงมาถึงระดับนี้แล้วทางการคงจะยื่นมือเข้ามาช่วยและทำให้ทุกอย่างดีขึ้นได้ ทว่าความคาดหวังเหล่านั้นกลับไม่เป็นจริงสักที ทำให้เริ่มมีนักวิเคราะห์มองว่า ศักยภาพในการช่วยชีวิตของตลาดหลักทรัพย์กำลังลดลง

ในประวัติศาสตร์ 18 ปีของตลาดหลักทรัพย์จีน ที่ผ่านมาทางการได้ทำการแทรกแซงตลาดมาหลายครั้ง จนกลายเป็นความเคยชินของนักลงทุนที่ว่า ทางการจะคอยช่วยเหลือตลาดอยู่เสมอ อย่างเช่นเมื่อตลาดร้อนจนมีความเสี่ยง ทางการก็จะช่วยทำให้เย็นลง ทว่าหลังจากที่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาสถานีโทรทัศน์ซีซีทีวีของจีนได้ทำการจับมือกับเว็บไซต์หลายแห่งในการทำการสำรวจ พบว่าคนที่ตอบการสำรวจจำนวน 765,000 คนมี 75% ที่คาดว่ารัฐบาลปักกิ่งจะมีมาตรการช่วยเหลือตลาดทุน

เห็นได้ชัดว่าทางการจีนพยายามอยู่ตลอดเวลาที่จะป้องกันไม่ให้เกิดความผันผวนทางเศรษฐกิจและการเงินจนทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ประชาชน โดยเฉพาะก่อนช่วงมหกรรมกีฬาโอลิมปิก ก็ยิ่งไม่อยากจะให้มีปัญหาใดใดเกิดขึ้น

นายย่วน เต๋อจวินนักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจากไชน่า แกแลคซี ซิเคียวริตีส์ระบุว่า "ถึงเวลาที่รัฐบาลจีนจะต้องใช้มาตรการที่จริงจัง ในการที่แสดงให้นักลงทุนเห็นว่ามีความเป็นห่วงเป็นใยในเสถียรภาพและการพัฒนาของตลาดหลักทรัพย์อย่างเต็มเปี่ยม"

ในความเป็นจริง ที่ผ่านมาทางการจีนเองก็ได้ทดลองใช้มาตรการบางอย่างเพื่อกระตุ้นบรรยากาศของตลาดหลักทรัพย์ และลดความกังวลที่จะทำให้ราคาหุ้นใหม่ๆที่เข้าตลาดเกิดความซบเซา อย่างเช่นเมื่อวันที่ 20 เม.ย. ทางการจีนมีการควบคุมการโอนผ่านหุ้นกันอย่างเข้มงวดมากขึ้น 3 วันให้หลังทางการได้ทำการลดอัตราภาษีอากรแสตมป์จาก 0.3% เหลือ 0.1% หลังจากที่ก่อนหน้าเมื่อเดือนพ.ค.ปี 2007 ได้เคยปรับขึ้นอัตราภาษีอากรแสตมป์เพื่อช่วยเหลือในขณะที่ตลาดหุ้นร้อนแรงเกิน

ทว่ามาตรการเหล่านี้ที่รัฐบาลได้ใช้กลับมีผลจำกัดและไม่นานเท่านั้น ผนวกกับผลกระทบที่เกิดจากเศรษฐกิจทั่วโลกที่ชะลอตัว และมาตรการการควบคุมเงินเฟ้อที่จีนได้ใช้ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ยังจมน้ำต่อไป ทำให้ในเดือนมิ.ย. มีสัปดาห์หนึ่งที่เป็นสัปดาห์ที่ดัชนีตกฮวบรุนแรงที่สุดในรอบ 12 ปี หรือตกไปถึง 13.8% และถึงเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ได้ตกลงไปถึง 2,760.42 จุด และนับว่าตกจากจุดสูงสุดในเดือนต.ค.มา 55%

นายมาร์ค วิลเลียมส์ นักวิเคราะห์จากแคปิตอล อิโคโนมิคส์ ได้ระบุในรายงานฉบับหนึ่งว่า "ในช่วง 6 เดือนที่แล้ว การแทรกแซงต่างๆของรัฐบาลไม่สามารถที่จะส่งผลได้นาน ซ้ำมาตรการเหล่านี้ยังทำให้นักลงทุนเกิดจินตนาการไปต่างๆนาๆ จนอาจเพิ่มความผันผวนให้ตลาดหลักทรัพย์มากขึ้น"

ฮา จี้หมิงนักเศรษฐศาสตร์ประธานไชน่า อินเตอร์เนชั่นแนล แคปิตอล (ซีไอซีซี) ได้ระบุว่า นักลงทุนต่างชาติก็เหมือนกับนักลงทุนในประเทศ ที่เมื่อจะลงทุนในตลาดหลักทรัพย์จีนก็ต้องพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐาน เศรษฐกิจจีนที่ชะลอการเติบโตเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ดึงให้ตลาดหลักทรัพย์ชะลอตัวลง และคาดว่าผลผลิตมวลรวมภายในประเทศหรือจีดีพีปีนี้จะเติบโตอยู่ที่ 10.3% และในปีหน้าจะขยายตัวอยู่ที่ 9.5%

จากการสำรวจพบว่า มีนักลงทุนจำนวนไม่น้อยที่เริ่มสูญเสียความเชื่อมั่นที่มีต่อรัฐบาล โดยนักลงทุนรายย่อยผู้หนึ่งในปักกิ่งระบุว่า คราวนี้เราไม่ได้คาดหวังว่ารับบาลจะสามารถทำอะไรเพื่อกระตุ้นตลาดหลักทรัพย์ได้ เพราะหากทำไปก่อนหน้านี้อาจจะมีประโยชน์มากกว่า แต่ตอนนี้มันสายไปแล้ว

ในขณะที่นายเฉิง เหว่ยชิ่งนักวิเคราะห์จากซิติก ซิเคียวริตีส์ได้ระบุว่า สถานการณ์ในตอนนี้ ไม่ใช่ปัญหาที่ทางการจีนจะสามารถใช้มาตรการง่ายๆอะไรจากรัฐบาลเข้าไปแก้ไขได้อีก เพราะว่าสาเหตุสำคัญได้มาจากมูลเหตุพื้นฐาน แต่ก็คาดว่าในช่วงก่อนปลายปีนี้ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของจีนจะค่อยๆกระเตื้องขึ้น ไม่ว่าทางการจีนจะได้ใช้มาตรการต่างๆเข้ามาแทรกแซงเพิ่มหรือไม่
กำลังโหลดความคิดเห็น